back to top
HomeInterviewอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความสัมพันธ์ กับการสร้างธุรกิจร่วมกัน และการใช้ชีวิตคู่แบบเท่าเทียมของมิว-ตุลย์

อีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความสัมพันธ์ กับการสร้างธุรกิจร่วมกัน และการใช้ชีวิตคู่แบบเท่าเทียมของมิว-ตุลย์

“จริงๆ ผมกับเขามีวิธีคิดเรื่องการจัดเวลาไม่เหมือนกัน” ประโยคระหว่างการสนทนาที่ก่อให้เกิดความเงียบขึ้นมาสักพักหนึ่ง ไม่ใช่เพราะความหมายของประโยคนี้สร้างความรู้สึกไม่ดี แต่เป็นการบ่งบอกถึงความกล้าหาญของมิว – ศุภศิษฏ์ จงชีวีวัฒน์ ที่จะยอมรับว่าการทำงานร่วมกับคนรัก ไม่จำเป็นต้องมีวิธีคิดที่เหมือนกันไปซะทุกอย่างก็ได้ ขณะที่ตุลย์ – ภากร ธนศรีวนิชชัย นั่งฟังอย่างเข้าอกเข้าใจ และเหมือนคิดตามในสิ่งที่มิวพูด — ช่วงเดือนตุลาคม ปี 2567 พวกเขาได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการที่มิวคุกเข่าขอตุลย์แต่งงาน ก่อนที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2568 ใช่ละ เขากล้าหาญมาตั้งแต่ตอนนั้น เพราะนี่นับว่าเป็นครั้งแรกของการขอแต่งงานระหว่างศิลปินชายด้วยกัน (หรืออาจมีมาก่อนแล้วแต่ไม่ได้เป็นที่รู้กันทั่ววงการขนาดนี้) 

ทั้งมิวและตุลย์เติบโตมาในฐานะศิลปินที่มีผลงานการแสดงมากมาย และดังไกลระดับอินเตอร์ มันคงไม่มีอะไรน่าสนใจไปมากกว่านี้ถ้านี่เป็นการนั่งคุยเรื่องชีวิตทั่วไปในวงการ ทว่าเขาทั้งสองเพิ่งจับมือสร้างธุรกิจร่วมกันเป็นคาเฟ่ที่ชื่อ We Are Young – Cafe, Brunch and Art ซึ่งไม่ได้มีแต่กาแฟและอาหารเท่านั้น แต่ยังหวังใจอยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งพบปะของคนรักงานอาร์ต ซึ่งเป็นหนึ่งในความชอบส่วนตัวของมิวด้วย เอสไควร์ ประเทศไทยเลยไม่พลาดมาเยือนตั้งแต่วันแรกเพื่ออัพเดตเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ พร้อมพกคำถามมาด้วยว่า ถ้าชอบศิลปะมาก ทำไมไม่เปิดแกลเลอรีแทนล่ะ! 

“ที่มาของคาเฟ่แห่งนี้เรียบง่ายมากเลย คือผมเป็นคอลเลกเตอร์และสะสมงานศิลปะอยู่แล้ว แต่รู้สึกว่ามันไม่มีที่ในการจัดแสดง เลยอยากมีสเปซให้สามารถโชว์ของที่มีอยู่ได้” มิวเริ่มตอบคำถามจากความอยากรู้อยากเห็นของเรา “ส่วนที่อยากรู้ว่าทำไมไม่เปิดเป็นแกลเลอรีไปเลยใช่ไหม! (หัวเราะ) เพราะสเกลมันค่อนข้างใหญ่สำหรับเราในตอนนี้ และตอนที่ศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจ คาเฟ่จะคืนทุนค่อนข้างเร็วมากตามโมเดลที่เราวางเอาไว้ หน้าที่ของผมคือทำตามแผน ตอนนี้เป็นไปในทิศทางค่อนข้างดีมาก ถ้าหลังจากนี้ยังดีแบบนี้ ก็อาจจะมีสาขาต่อไป” มิวเล่าต่อว่านอกจากตุลย์แล้วยังมีพาร์ทเนอร์อีก 2 คนที่รับผิดชอบในเรื่องการออกแบบ โดยเขาจะโฟกัสไปที่เรื่องการวางคอนเซ็ปท์ โดยเฉพาะการสร้าง Bubba มาสคอตสีส้มของร้าน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคำว่า buddy เพราะอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยให้พลังบวกกับทุกคน ทำให้เรากระชุ่มกระชวยหัวใจ 

ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่เกินความคาดหมาย วันแรกของคาเฟ่แห่งนี้เต็มไปด้วยกำลังใจที่หลั่งไหลกันมาอุดหนุนพวกเขาทั้งสอง ทำให้ตุลย์ต้องทำหน้าที่ต้อนรับและจัดการทุกความเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง “คาเฟ่มันเป็นเร้ดโอเชี่ยนครับ แต่ก่อนหน้านี้เราเคยทำแบรนด์สกินแคร์กันมาแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นเร้ดโอเชี่ยนเหมือนกัน เลยไม่มีอะไรต้องกลัว” มิวเล่าให้เราฟังถึงเส้นทางในการสร้างธุรกิจของพวกเขา ขณะที่ตุลย์ยังคงหัวหมุนอยู่กับการรับแขก “คาเฟ่เดี๋ยวนี้แข่งกันด้วยดีไซน์ และความคิดสร้างสรรค์ เลยทำให้การไปคาเฟ่ในแต่ละครั้งสนุก เพราะจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ ด้วย เราเลยออกแบบบรรยากาศให้ We Are Young – Cafe, Brunch and Art เติมเต็มความต้องการทั้งเรื่องอาหารและงานศิลปะให้กับคนที่มา ซึ่งความโดดเด่นของเราจะเกิดจากการคอลแล็บกับศิลปินในทุกๆ 2-3 เดือน ซึ่งหน้าตาของร้านจะเปลี่ยนไปในแต่ละช่วง โดยตอนนี้เราคุยกับศิลปินที่จะมาแสดงงานที่ร้านเราทั้งปีแล้วว่าจะไปในทิศทางไหนบ้าง” 

น่าแปลกใจที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่า มิวหลงใหลในงานศิลปะ และสะสมอาร์ตทอยมานานกว่า 5 ปีแล้ว “ตอนเด็กผมชอบวาดรูปมาก แต่ที่งงๆ เพราะวิชาที่ชอบมากสุดคือศิลปะและเลข ซึ่งต่างกันสุดขั้ว เพราะอันนึงใช้เหตุผล แต่อีกอันใช้อารมณ์ ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็อยากไปสายออกแบบ แต่ที่บ้านขอไว้ว่า ถ้าไม่เรียนหมอ ก็ขอให้เรียนวิศวะ เลยต้องพักความฝันด้านอาร์ตของตัวเองไว้ก่อน แต่พอได้เข้าวงการบันเทิงมาเป็นนักแสดง ผมก็รู้สึกว่าชีวิตได้กลับเข้าสู่โหมดการสร้างสรรค์งานศิลปะอีกครั้ง ได้กลับมาซึมซับความงดงาม ความละเอียดอ่อน แล้วเพิ่งมาเข้าใจอย่างแท้จริงตอนเรียนปริญญาโทภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการว่าสองอย่างนี้มันไม่ต้องแยกกันก็ได้ เราเรียนด้านตรรกะเพื่อการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ศิลปะช่วยให้เราจินตนาการถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น มันพิสูจน์กับธุรกิจนี้เลยว่า ถ้าเราเอาทั้งอารมณ์และเหตุผลมาทำงานร่วมกันได้อย่างดีแล้ว ก็จะสนับสนุนกันและกันมากๆ 

“เรื่องงานดีไซน์ ทั้งผมและตุลย์มีความครีเอทีฟมาก แต่สุดท้ายต้องให้ใครบางคนตัดสินใจ” มิวเริ่มพูดถึงเรื่องการทำงานกับคนรัก ซึ่งนี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ เพราะหลายคนมักพูดว่าแฟนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจเป็นคนละสถานะ และเรามักเห็นมุมมองแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนจากการทำงานร่วม “ถ้าเรื่องของการทำงาน ผมจะดูเรื่องการจัดงานในร้าน” ตุลย์ตอบ เขากลับมานั่งคุยกับเราหลังจากความวุ่นวายในร้านเริ่มเข้าที่ “จริงๆ ทำตั้งแต่คุมก่อสร้าง เพราะบ้านอยู่ใกล้ (หัวเราะ) ใช้ความรู้ด้านสถาปัตย์ที่มี เพื่อให้ทุกอย่างเสร็จทันตามเวลาที่กำหนด จัดการปัญหาหน้างานต่างๆ งานระบบตุลย์จะดูเองหมด รวมถึงการเทรนนิ่งทั้งฝั่งบาริสต้าและฝั่งครัว ซึ่งเรามีเป้าหมายตรงกันว่าอยากทำของให้พรีเมี่ยม ฉะนั้นการเทรนนิ่งก็สำคัญ ส่วนสินค้าที่ระลึกในร้านจะให้มิวเป็นคนตัดสินใจ” 

กฎหมายสมรสเท่าเทียมที่เพิ่งมีผลในช่วงต้นปีเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของเสรีภาพในสังคมที่ความรักสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้โดยรัฐจะรับรองสถานภาพนั้นเมื่อพวกเขาตกลงใจกันแล้วว่าจะอยู่ด้วยกัน ซึ่งเขาทั้งสองดีใจเป็นอย่างมากที่การอยู่ร่วมกันจะไม่ได้เป็นแค่เรื่องพฤตินัย แต่มีความชอบธรรมโดยนิตินัยด้วย เพราะการทำงานกับคนรักอาจต้องล่วงล้ำเข้าไปในจุดที่เปราะบาง โดยเฉพาะเรื่องอัตตา และการตัดสินใจ “ตุลย์เป็นคนที่มีเงิน แต่เขาชอบลงแรง” มิวเริ่มวิพากษ์คาแรกเตอร์การทำงานในแบบตุลย์ ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด “ถามว่าการลงแรงเป็นเรื่องที่ดีไหม ผมคิดว่ามันแล้วแต่คน ผมเป็นห่วงว่าจะเหนื่อยเกิน เพราะถ้ามันสามารถจัดการบางอย่างด้วยอีกวิธีหนึ่งได้ เช่น บางอย่างใช้เงินแก้ปัญหาได้ หรือใช้คนอื่นแก้ปัญหาได้ (หัวเราะ) แต่ความน่ารักของเขาคือชอบทำแทน บางทีเกินไป มันอาจเป็นหน้าที่ของพนักงานในร้านที่ต้องทำ แต่เขาเอามาทำเอง ซึ่งสุดท้ายเราก็จะมองไม่เห็นจริงๆ ว่าโฟลวที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันจะเป็นยังไง” 

“ผมรู้สึกว่ามิวเป็นคนที่เอาแผนไปปฏิบัติจริงได้เร็วกว่าที่คิด” ตุลย์เริ่มพูดถึงวิธีการทำงานของมิวให้เราฟังบ้าง “สมมติว่ามันมีสิ่งที่เขารับผิดชอบต้องเสร็จ ซึ่งเรายังมองไม่เห็นว่าจะเสร็จได้ยังไง แต่พอถึงเวลาจริงๆ ก็เสร็จ เขาจะมีวิธีที่ทำให้มันเสร็จตามระยะเวลาที่เราต้องการ ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับผมมากที่รู้ว่าบางครั้งเราใช้เวลาเท่านี้ก็ได้ สำหรับมิว อะไรที่เสร็จก็ต้องเสร็จ ไว้ใจได้เลย” มิวเสริมต่อว่าในแต่ละวันเขาทำงานหลายอย่างมาก แต่คุณูปการของการเรียนวิศวกรรมอุตสาหการทำให้เขาเข้าใจเรื่องไลน์การผลิต และเข้าใจธรรมชาติของการจัดการว่าปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ “เรื่องจิตวิทยาเขาก็ถนัด” ตุลย์เสริมวิธีการทำงานในแบบของมิวให้เราฟังอีก “บางทีเขาก็แนะนำว่าต้องต่อรองยังไงถึงจะได้สิ่งที่เราต้องการ ซึ่งสุดท้ายเราก็มองในฐานะวิน-วิน ไม่ได้ไปเอาเปรียบใครหรือให้ใครมาเอาเปรียบ ถ้าเราสามารถวินทั้งเขาและเราได้ ทุกอย่างก็จะออกมาดี” 

ทุกอย่างนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น เพราะพวกเขามีแผนที่จะขยายสาขาเมื่อโอกาสนั้นมาถึง “การมีตัวเลขของสาขามากขึ้นในแบรนด์เดียวกันจะช่วยลดต้นทุนของการจัดการขั้นเตรียมได้ เช่นเดียวกัน พอเรามีหลายสาขา เราสามารถแชร์งานอาร์ตจากศิลปินหลายๆ คนในแต่ละสาขาได้ เพราะปัจจุบันศิลปินเกิดใหม่เยอะมาก แนวศิลปะใหม่ๆ ก็ขึ้นมาเยอะ ยังมีอะไรที่เราอยากสื่อสารกับลูกค้าหรือคนดูมากขึ้น เราอยากให้ศิลปะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต และเป็นโอกาสได้ทำงานกับครีเอเตอร์รุ่นใหม่ด้วย” มิวอธิบาย สิ่งที่คาใจเราเป็นอย่างสุดท้ายคงเป็นแค่เรื่องการจัดการเวลาของพวกเขาทั้งสอง เพราะในเมื่อมีความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งนี้จะไปกระทบกับความรักและเวลาส่วนตัวที่เคยมีให้กันไหม “เรียกว่ามีน้อยลง” ตุลย์ตอบ “แต่ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาของการเติบโต ในฐานะที่อายุ 30 ต้นๆ กัน ยังมีแรง เราใส่แรงไปก่อน เรื่องเวลาพักก็น้อยลง แต่ก็ได้เห็นคุณค่าของมันมากขึ้นและใช้อย่างคุ้มค่าจริงๆ” ขณะที่มิวนั่งฟังและขยับคิ้วเหมือนมีอะไรในใจบางอย่าง “ของผมคนละแบบ ผมกับเขามีวิธีคิดเรื่องการจัดเวลาไม่เหมือนกัน” มิวตอบ นั่นไง ว่าแล้ว “ผมว่าเรายังทำงานหนักได้ แต่ต้องจำกัดเวลาในการทำงานหนัก ความมีประสิทธิภาพมันถึงจะเกิด เช่น ถ้าวางไว้เลยว่าจะทำงานตั้งแต่ 9 โมงถึง 2 ทุ่ม ก็ต้องมีประสิทธิภาพมากๆ ในช่วงเวลานั้น พอ 2 ทุ่มปุ๊บ ผมจะเล่นเกมละ เพราะหมดเวลาการทำงาน พอเราอยู่ด้วยกันแล้วเห็นตุลย์ทำงานดึก ก็จะแอบเป็นห่วง พยายามหากิจกรรมทำร่วมกันให้เขาผ่อนคลายก่อนนอน”

Photographs by Ponpisut Pejaroen

Story by Neeraj Kim

Photos Assistant: Chayathat Nuchpum

- COVER ART -

https://esquire.co.th/2025/05/15/what-is-your-next-big-thing-interview/

Most Popular

More to See