Met Gala ปีนี้แตกต่างและโดดเด่นตั้งแต่พรมแดง…ไม่ใช่สิ แต่คือพรมสี navy ที่ประดับประดาไปด้วยลวดลายและดอก Dandy Daffodil ที่สร้างเสียงฮือฮาระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการปล่อยภาพแรกออกมา
ดอก Dandy Daffodil กลายเป็นสัญลักษณ์ที่บอกเล่าธีมของงานอย่างมีชั้นเชิง ทุกปี Anna Wintour จะเลือกดอกไม้ชนิดหนึ่งมาตั้งโทนให้กับค่ำคืนแห่งแฟชั่น ปีนี้เธอเลือกดอกนี้ ดอกไม้ที่ดูสดใส อ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยลูกเล่นทางสายตาและนัยยะที่ลึกซึ้ง มันดูร่าเริงในแว่บแรก แต่เมื่อพิจารณาใกล้ๆ จะพบว่านี่คือดอกไม้ที่รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง รู้มุม รู้แสง และรู้จังหวะจะยืนให้สวยอย่างไร เปรียบได้กับธีม Superfine: Tailoring Black Style ที่พูดถึงการแต่งกายของชายผิวดำในฐานะพื้นที่ของพลัง การควบคุม และการแสดงตัวตน
คำว่า Dandy Daffodil เองก็ฟังดูเหมือนคำประชดประชันจากยุคก่อน แต่เมื่อนำมาใช้ในบริบทนี้ มันกลับมีความหมายเฉียบคม ตัวดอกตั้งตรง สีสด และเหมือนกำลังโพสอยู่ตลอดเวลา ไม่ต่างจาก Dandy หรือสุภาพบุรุษผู้ใช้แฟชั่นอย่างมีชั้นเชิง เขาแต่งตัวเพื่อแสดงออก แต่ไม่ใช่เพื่อเอาใจใคร เป็นความสวยที่รู้ตัว เป็นศิลปะที่กล้าเผยให้เห็นการประดิษฐ์ ดอกไม้ที่มักถูกมองว่าเป็นของผู้หญิง กลับมารับบทเป็นสัญลักษณ์ของชายผู้ลุ่มลึก ควบคุม และตั้งใจให้ถูกมองเห็นอย่างมีแบบแผน
ดอกไม้เหล่านี้สะท้อนแนวคิดของ Black Dandyism ได้อย่างแยบยล กล่าวคือ สวยอย่างมีจุดยืน โดดเด่นโดยไม่ต้องออกเสียง และทำให้โลกหยุดมอง เพราะนี่คือแฟชั่นในฐานะการแสดงออกที่ทรงพลังที่สุดนั่นเอง
เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มกันมาสุดฤทธิ์เริ่มต้นกันด้วยสาว “ฟรีน สโรชา” กับการเดบิ้วต์เดินพรมแดง Met Gala ของฟรีน-สโรชา ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Valentinoโดยฟรีนมาในลุคสะกดทุกสายตาด้วยแจ็กเก็ตสีขาวประดับขอบด้วยเฟอร์สีดำและโบสีชมพู มาพร้อมกระโปรงสีดำและถุงน่องลูกไม้ เผยความเซ็กซี่เล็กน้อย ผลงานการออกแบบของ Alessandro Michele
ถัดมากันที่ ROSÉ มาในชุดของ Saint Laurent และเครื่องประดับจาก Tiffany & Co. – Met Gala ปีนี้ถือว่าเกือบจะต้อนรับการคัมแบ็คของ BLACKPINK ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขาดก็แต่สาว JISOO แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ได้รับการคอนเฟิร์มจาก LISA แล้วว่าพวกเธอทั้งสี่กำลังอยู่ในช่วงทำงานร่วมกันสำหรับเตรียมการคัมแบ็คแล้วแฟนๆ รอคอยกันได้เลยครับ
และอีกหนึ่งลุคที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือลุคของ Janelle Monáe ที่ขายความตีมเรื่องของการเทลเลอร์ชุดให้เข้ากับตัวผู้สวมใส่ด้วยการถอดรูปจากชุดที่ดูคล้ายแพทเทิร์นการตัดเย็บแบบแข็งๆ สู้ชุดเข้ารูปที่ยังคงโดดเด่นด้วยการเลือกใช้สีแดงสดและดำ ผลงานการออกแบบร่วมกันของ Costume Designer เจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด Paul Tazewell กับ Thom Browne
โปรดเอื้อเฟื้อแด่เด็ก Rihanna และคนชรา นักธุรกิจสาวชื่อดังอุ้มท้องลูกคนที่สามเลือกเดินปิดพรมแดง Met Gala ด้วยชุดเทลเลอร์จาก Marc Jacobs ที่โดดเด่นในทุกมุมมองซ้ายและขวา หน้าและหลัง
และอีกหนึ่ง co-chairs คนสำคัญของงานในครั้งนี้ Pharrell Williams ที่ตอนแรกเราก็เอะใจว่าทำไมชุดดูเรียบง่ายจัง แต่ความจริงแล้ว เสื้อเบลเซอร์ตัวนอกนี้สร้างสรรค์โดยทีมดีไซน์ของ Louis Vuitton ทำจากไข่มุกขนาดต่างๆ มากกว่าแสนเม็ด! ใช้เวลาในการทำมากกว่า 980 ชั่วโมงหรือกว่า 40 วัน! โอเค ยอมแล้ว งานละเอียด งานคอนเซ็ปต์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ต่อกันที่ Walton Goggins จาก The White Lotus ยังไม่ตาย! แถมยังเฉิดฉายในชุดเทลเลอร์พ่วงกระโปรงที่โคตรจะสนุกฝีมือการตัดเย็บของ Thom Browne
มาเก๋ทุกปีและตลอดไป ใช่แล้ว… เขาคือ Bad Bunny ผู้มาในชุดสูทเทลเลอร์และกระเป๋าใบเขื่องจาก Prada ความน่ารักอยู่ที่หมวกที่ได้แรงบันดาลใจจากหมวกจักสาน Pava งานหัตถกรรมพื้นถิ่นของเปอร์โตริโก บ้านเกิดของเขา พร้อมจบลุคด้วยเครื่องประดับจาก Cartier
Lewis Hamilton ในฐานะของ co-chairs ของ Met Gala มาในโทท่อลลุคขาวพร้อมสวมหมวกเบเรต์จากแบรนด์ Wales Bonner
อีกหนึ่ง co-chairs คนสำคัญ Colman Domingo ที่เริ่มต้นปรากฏตัวด้วยชุดคลุมสีฟ้าสด (ที่หลายสื่อบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากลุคเด่นของ André Leon Talley เมื่อ Met Gala ปี 2011) ก่อนที่จะถอดรูปออกมาเป็นสูทเทลเลอร์มากดีเทลเก๋สุดในพรมดอกแดนดี้แดฟโฟดิล ลุคทั้งหมดจาก Maison Valentino
ต่อกันที่ดาวเจิดจรัสและโดดเด่น JENNIE มาในลุคสุดคลาสซี่จาก CHANEL แรงบันดาลใจจากคอลเลกชั่น Fall 1987 เรียกได้ว่าสะกดแทบทุกสายตานับตั้งแต่ย่างก้าวออกจากโรงแรมมายังที่งาน
ปิดท้ายกันไปด้วยสาวไทยอีกคนอย่าง LISA มาแบบเซ็กซี่แต่ทรงพลัง พร้อมด้วยงานดีเทลที่ต้องซูมอิน พ่วงด้วยถุงน่องโมโนแกรมที่เชื่อเถอะว่ามาแน่ ในลุคจาก Louis Vuitton และเครื่องประดับจาก Bvlgari
Credit : Getty Images