back to top
HomeInterview"As Good As Gold"...

“As Good As Gold” เท่ทุกอิริยาบถไปกับเกรท – วรินทร ปัญหกาญจน์ ในคอลเลกชั่นสุดพิเศษ Gold Selvedge จาก Wrangler 

Photographs by Bert Sivakorn 

Fashion Editor: Dome Songprakon 

Story by Pacharee Klinchoo

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าภาพลักษณ์ของยีนส์ในสายตาประชาคมโลกนั้นมาพร้อมความเท่ ความขบถ และความมัสคิวลีนในแบบผู้ช้ายผู้ชายที่เมื่อ Wrangler เลือกเกรท – วรินทร ปัญหกาญจน์ ชายหนุ่มที่มองแว้บแรกก็เห็นภาพเขาใส่กางเกงยีนส์เปลือยอกขึ้นมาภาพแรกมาเป็นนายแบบให้กับคอลเลกชั่น Gold Selvedge สุดพิเศษของแบรนด์ก็ไม่ทำให้เราแปลกใจมากสักเท่าไหร่ 

เอสไควร์ ประเทศไทย ชวนเกรทลงนั่งคุยเรื่องกางเกงยีนส์ เรื่องความเป็นผู้ชาย อินเนอร์ภายในที่ส่งให้เขาเปล่งประกายสู่ภายนอก และที่สำคัญ… เรื่องชีวิตที่เขาแทบจะไม่เคยพูดออกสื่อมาก่อน 

ความรู้สึกที่ได้สวมยีนส์ลิมิเต็ดเอดิชั่นของ Wrangler รุ่น Gold Selvedge 

จริงๆ ผมรู้สึกตั้งแต่ได้ใส่ถ่ายแคมเปญของ Wrangler ครั้งแรกแล้วครับว่ายีนส์รุ่นนี้เป็นยีนส์ที่เท่ ดูแมน ส่วนตัวผมชอบสียีนส์อยู่แล้ว พอได้ยินว่ารุ่นนี้เป็นลิมิเต็ดอีกนี่คือ… เราหมดไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่าลิมิเต็ด (หัวเราะ) ในหลายๆ เรื่องเลยนะครับ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีคุณค่าขึ้นอีกสำหรับคนที่ชอบใส่ยีนส์ ซึ่งผมก็ชอบใส่ยีนส์อยู่แล้วครับ ทั้งเสื้อและกางเกงสามารถใส่ออกงานได้สบายๆ เลยครับ 

ความประทับใจที่มีต่อแบรนด์ Wrangler 

ผมชอบใส่ยีนส์อยู่แล้วครับ ผมเป็นผู้ชายแต่งตัวง่าย กางเกงยีนส์ เสื้อยืด ใส่กับรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้าหนังก็โอเคแล้ว พอได้รับเลือกให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ของ Wrangler ก็รู้สึกดีใจมากครับ เพราะกางเกงยีนส์ของแบรนด์ค่อนข้างตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของผมอยู่แล้ว ใส่ง่าย มีทรงที่ชอบ และมีหลายสี อย่างบางงานที่ไม่สามารถใส่กางเกงยีนส์สียีนส์ไปได้ ผมก็เลือกหยิบกางเกงยีนส์สีดำมาใส่ มันก็สามารถกลายเป็นกางเกงที่ดูสุภาพขึ้นทันทีครับ ตอบโจทย์ผมมากจริงๆ 

สิ่งที่ได้เรียนรู้และทำให้มายด์เซ็ตเปลี่ยนไปตลอดกาลคือเรื่องอะไร 

เรื่องการบวชเลยครับ เริ่มต้นที่ผมตั้งใจว่าอยากจะเป็นนักแสดงที่เล่นละครเก่ง ก็รู้ว่าเราต้องมีสมาธิ เลยเริ่มต้นดูแลตัวเอง พัฒนาตัวเองเรื่องของการทำสมาธิมาตลอด พอรู้สึกว่าสิ่งนี้มันดีกับเรา ดีกับระบบการจัดการความคิด ทำให้การทำงานของเราไหลลื่นมากขึ้น ทำให้เราจัดการชีวิตเราในหลายๆ เรื่องได้ดีขึ้น พอเราเริ่มจับหลักการทำสมาธิได้ มันก็เหมือนเราไปจัดเรียงของบนโต๊ะทำงานที่รกอยู่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เราหยิบจับอะไรได้ง่ายขึ้น นี่เป็นสิ่งที่จุดประกายให้ผมคิดได้ว่า ‘เป็นผู้ชายก็ต้องบวชนี่นา’ เลยตั้งใจว่าจะไปบวช ไปศึกษาเรื่องสมาธิลึกๆ กับพระ และสิ่งที่ได้กลับมาจากการตั้งใจบวช 100% ก็คือการอยู่ในระเบียบวินัยหนึ่งเดือนที่บวช ทำให้เรามีสติ รู้ตัวมากขึ้นทั้งในเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิตครับ 

แต่การเข้าไปอยู่ในวัดคือการถูกบังคับให้เราสงบลงไปเอง ทั้งด้วยบรรยากาศ กฎเกณฑ์ในนั้น และยูนิฟอร์มที่ใส่ แต่พอออกมาอยู่ข้างนอกบนโลกใบเดิม ทุกอย่างก็จะฟรีสไตล์ตามสัญชาตญาณมนุษย์ การไปบวชที่วัดคือการเรียนรู้วิชา แต่การใช้ชีวิตข้างนอกคือการทำข้อสอบในสนามจริงครับ ไปอยู่วัดมันง่ายเพราะทุกอย่างมันบังคับให้เราสงบ แต่พอออกมาเจอสิ่งเร้าจากการทำงาน ทั้งการพบเจอผู้คนต่างๆ มากมาย มันก็จะทำให้จิตใจของเราไขว้เขวไปตามสิ่งเร้าเหล่านั้น เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะทำยังไงก็ได้ให้เราอยู่กับสิ่งพวกนี้อย่างมีสติ นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิต ทำให้เราทำอะไรอย่างมีสติครับ 

ไม่ค่อยเห็นเกรทให้สัมภาษณ์เรื่องตัวเองสักเท่าไหร่ มีอะไรอยากจะแชร์กับผู้อ่านของเราบ้างไหม 

อย่างที่ผมพูดเรื่องบวชไปครับ สิ่งที่ผมได้รับกลับมาเป็นทักษะสำคัญในการใช้ชีวิตในยุคนี้ครับ ยุคที่โซเชียลมีเดียมันเข้าถึงทุกคนได้ และทุกคนพร้อมจะหลงใหลไปกับมัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะโซเชียลมีเดียทำให้เราเจอเพื่อนเก่า ให้เราใช้ทำมาหากิน ทำให้เรามีความสุข สร้างความบันเทิงให้กับเรา แต่ในอีกมุมหนึ่ง มีหลายคนที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีความทุกข์เพราะโซเชียลมีเดียมากเลยนะครับ สิ่งที่ผมอยากจะแชร์ก็คือ หลังจากที่ผมได้ศึกษาเรื่องพวกนี้ และมาทบทวนกับใจตัวเอง ผมก็รู้สึกว่าทักษะที่คนยุคนี้ควรจะมีก็คือทักษะการวางให้เป็น และแยกแยะให้ได้ เราจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น ไม่ไหลไปตามคลื่นหรือกระแสของสังคมมากเกินไปครับ 

ผมไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองจริงๆ ครับ เพราะอาจจะมีคนคิดก็ได้ว่าเรื่องแบบนี้ดูไม่เข้ากับหน้าของผมเลย แต่ผมก็ยินดีที่จะแชร์นะครับ ผมเคยเปรียบเทียบง่ายๆ ว่า ชีวิตของมนุษย์คืออยู่ในทะเลที่อาจจะมีทั้งความสุขและความน่ากลัวไปพร้อมกัน ทุกคนอยู่บนคลื่นที่ขึ้นๆ ลงๆ บางคนหลงระเริงไปหน่อยก็จมน้ำ แต่ถ้าเกิดว่าเรามีทักษะที่ดี รู้ตัวว่าตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้อยู่นะ มันก็เหมือนกับคุณมีทางขึ้นฝั่งเป็นของตัวเองอยู่เสมอ เราจะหาทางขึ้นฝั่งได้ ไม่ว่าเราจะเจอคลื่นลูกไหนมาก็ตาม ถ้าเราเข้าใจและแยกแยะออกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นไปตามธรรมชาติแล้ว เราก็จะเห็นฝั่งที่เราสามารถขึ้นไปนั่งพักใจให้สงบลงก่อน แล้วค่อยโดดกลับลงมาใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความสุขครับ และผมก็หาฝั่งของตัวเองเจอหลังจากได้มีโอกาสไปบวชเรียนนี่ล่ะครับ เลยอยากจะแชร์เรื่องนี้ต่อให้คนอื่นได้รับรู้เหมือนกัน 

มองตัวเองในอีกสิบปีข้างหน้าไว้ว่าอย่างไรบ้าง 

ส่วนตัวผมมองเรื่องการใช้ชีวิตในปัจจุบันเป็นหลักนะครับ แต่ถ้าให้มองไปอีกสิบปีข้างหน้า ก็คงพูดได้ว่า ณ ทุกวันนี้ผมยังมีความสุขกับการทำงานเบื้องหน้าอยู่ และผมได้เริ่มทำสิ่งใหม่ๆ กับสิ่งที่ตัวเองรัก ทั้งเรื่องการวิเคราะห์ฟุตบอล การออกกำลังกาย และการได้ไปพูดเรื่องการจัดระเบียบวินัยในตัวเองให้นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยฟัง ผมรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นงานที่มีคุณค่าทางใจสำหรับผม ดังนั้น ผมมองว่าอีกสิบปีข้างหน้าผมจะยังทำสิ่งที่ผมรักทั้งสามสิ่งอยู่ถ้าผมมีโอกาส เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วมีความสุข และเกิดประโยชน์กับผู้อื่น ส่วนงานเบื้องหน้ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงอย่างเดียว ถ้าทุกคนยังเห็นว่าผมยังเป็นคนเบื้องหน้าที่มีคุณภาพอยู่ ผมก็รักและยินดีที่จะทำมันต่อไปครับ 

นิยามความเป็นสุภาพบุรุษในแบบของเกรทคืออะไร 

ผมว่านิยามยากนะครับ มันเหมือนกับให้นิยามคำว่าคนดี มันยากมากเลย แต่สำหรับผม การเป็นคนดีคือคุณไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนทั้งทางร่างกายและจิตใจ คุณก็เป็นคนดีแล้ว การเป็นสุภาพบุรุษสำหรับผมก็ไม่ต่าง แต่ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ มันก็เกี่ยวกับความเป็นผู้ชายอยู่แล้ว มันก็ต้องเพิ่มเรื่องการให้เกียรติผู้หญิงและความเสียสละเข้าไปด้วยครับ ในมุมมองของผมนะ 

ฝากผลงาน และฝากอะไรถึงคนที่กำลังจะได้อ่านบทความนี้หน่อย 

ผมกำลังจะมีภาพยนตร์เรื่อง ‘ซ้ำวัน กับ Someone’ ที่เล่นกับเต้ย – จรินทร์พร จะออกฉายทาง Netflix ช่วงปลายปีนี้ และก็มีละครของช่องสามที่ถ่ายจบแล้ว รอออนแอร์อยู่หนึ่งเรื่องครับ ก็คือมีทั้งหนังและละครรออยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่อยากจะบอกแฟนๆ ตอนนี้ก็ไม่มั่นใจนะครับว่าอยากจะบอกอะไรอีกไหม แต่ผมอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้รู้จักตัวตนของผมมากขึ้นกว่าในจอ ซึ่งภาพลักษณ์ของผมในจอเกิดจากการได้เข้าวงการมาทำงานบันเทิงในฐานะนักแสดง สิ่งที่ผมแสดงออกไปหลายๆ อย่างจึงอาจจะไม่ใช่ตัวตนของผม ตัวตนของผมจริงๆ ส่วนหนึ่งก็อย่างที่ผมเล่าไปข้างต้นนะครับ และผมก็มีสิ่งที่ผมรักและอยากทำอยู่เยอะเลย ถ้าเกิดว่าใครชื่นชอบเวย์ของผม และทัศนคติของผม ก็อยากจะให้เปิดใจ และฝากติดตามผมด้วยนะครับ ผมไม่ได้หล่อเท่อย่างเดียวนะครับ (หัวเราะ) 

Model: Warintorn Panhakarn 

Makeup & Hair: Bew Makeup 

Photo Assistants: Worrarath Jiwpanit, Supachai Suwanmajo 

Styling Assistant: Korawait Sattayapan 

- COVER ART -

Most Popular

More to See