back to top
HomeEntertainmentปีเปลี่ยนชีวิตของ ต้าห์อู๋ - พิทยา...

ปีเปลี่ยนชีวิตของ ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว กับการขึ้นเวทีใหญ่ มีไอดอลเป็นเทพเจ้า และการหาเรื่องราวเชื่อมโยงตัวเองกับผู้ฟังได้อย่างไม่เคอะเขิน

เราได้คิวสัมภาษณ์ ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว มาเพราะเขาได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน Spotify RADAR Artist โปรแกรม ‘แม่ยก’ ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นศิลปินหน้าใหม่จากทั่วโลกในแอพฯ Spotify โดยคัดเลือกจากศิลปินที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้นๆ หรือมีแนวโน้มที่จะแมสในอนาคต ซึ่งจุดนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ศิลปินแต่ละคนจะสามารถนำไปต่อยอดต่อไปด้วยความสามารถของตัวเองได้ ซึ่งในเมื่อเราได้คิวสัมภาษณ์มาเพราะสาเหตุนี้ คำถามเปิดบทสนทนาระหว่างเรากับเขา ก็คงจะหนีไม่พ้นความรู้สึกหลังจากที่รู้ว่าตัวเองได้รับเลือกเข้าโปรแกรมนี้ “ดีใจครับ” เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “ผมก็เป็นศิลปินหน้าใหม่ รู้สึกว่าพอมีกิจกรรมแบบนี้จาก Spotify ก็ทำให้ผลงานของผมไปถึงคนฟังได้มากขึ้น ก็จะรู้สึกว่าถูกจับตามองระดับหนึ่ง ทำให้มีแรงบันดาลใจในการทำเพลงใหม่ๆ ออกมา และก็รู้สึกคาดหวังกับตัวเองมากขึ้นอีกนิดหนึ่งว่าไหนๆ ก็ถูกเลือกเป็น Spotify Radar Artist แล้ว ไม่อยากจะให้คนที่กดเข้ามาฟังเพลงของเราผิดหวัง เลยอยากจะทำผลงานชิ้นถัดๆ ไปให้ดีขึ้นกว่าเดิมไปอีกครับ”

เมื่อกี๊พูดว่า ‘คาดหวัง’ กับตัวเองใช่ไหม รู้สึกกดดันมากขึ้นไหมหลังจากได้รับคัดเลือก “ไม่กดดันนะ” อีกครั้งที่เขาตอบแบบไม่ต้องคิด “ผมมองว่ามันเป็นโอกาส และเป็นความสนุกมากกว่าครับ ถึงเราจะไม่ได้มีคำว่า Spotify RADAR Artist ติดตัวมา แต่ในฐานะศิลปิน ผมก็อยากจะทำงานทุกชิ้นให้ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเราถูกคาดหวังไว้นิดหนึ่งว่าเราเป็นหนึ่งในคนที่น่าจับตามอง ในผลงานถัดๆ ไป ผมก็เลยมีความคาดหวังในตัวผมเองว่า อย่างน้อยที่สุด ถ้าผมเปิดฟังเพลงตัวเอง มันต้องตอบโจทย์ตัวผมเองก่อน และถ้ามันจะไปตอบโจทย์ผู้ฟังคนอื่นได้ ผมก็ดีใจครับ”

เราเล่าให้ต้าห์อู๋ฟังว่า หลังจากเพื่อนเราไปดูคอนเสิร์ต AssetWise Presents PIANO&i The Magic 7 Concert ของ โต๋ – ศักดิ์สิทธิ์ ก็กลับมาขายต้าห์อู๋ให้เราฟังจนเราสนใจเขาในฐานะศิลปินเพิ่มขึ้นจากที่เคยได้ยินชื่อเขาในฐานะนักแสดง เขาทำหน้ากึ่งๆ เขิน กึ่งๆ ภูมิใจ เมื่อเราถามว่ามีเวทีไหนที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปเลยบ้างไหม “จริงๆ มันมีหลายโมเมนต์มากเลยนะครับ แต่ที่โดนมาล่าสุด ผมว่ามันเป็นช่วงที่ผมได้ไปขึ้นเวที Big Mountain ครับ เป็นการขึ้นเวทีนี้ครั้งแรกของผม ไม่ใช่เวทีอะไรหรอกครับ แต่ผมได้ไปยืนดูรุ่นพี่ เพื่อนๆ ศิลปินเล่นบนเวที ทั้งพี่อิ้งค์ – วรันธร พี่โบกี้ไลอ้อน และพี่ๆ วงไททศมิตรขึ้นร้องเพลงตัวเอง เล่าเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องความรัก ความเศร้าหรือเรื่องชีวิตผ่านเลนส์ความเป็นศิลปินของตัวเอง โมเมนต์นั้นทำให้ผมตระหนักได้ว่านี่มันเป็นมากกว่าการขึ้นร้องเพลงแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปิน’ มันไม่ได้มาขึ้นเวทีร้องเพลงเฉยๆ แต่เอาประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเขามาใส่ทำนอง และการแสดงบทเพลงเหล่านั้นบนเวทีคือการเชื่อมต่อระหว่างศิลปินและผู้ฟัง มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากจะเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนอื่นฟังแบบนี้บ้าง เพราะก่อนหน้านี้เพลงของผมส่วนใหญ่จะเป็นเพลงประกอบละคร มีโปรดิวเซอร์ทำเพลงให้ มันเลยไม่ค่อยเกี่ยวกับตัวผมสักเท่าไหร่ ผมดีใจมากนะที่มีแฟนเพลงเป็นของตัวเอง แต่การที่มีเพลงที่ถ่ายทอดผ่านเลนส์ของผมจริงๆ ใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบผมกับประสบการณ์ของผม และมีคนมาอินกับเนื้อหาตรงนั้น มันเป็นสิ่งที่ลํ้าไปอีกขั้น ผมรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับการเป็นศิลปิน ซึ่งตรงนี้ทำให้ผมได้ปลดล็อกอะไรใหม่ๆ ว่าจริงๆ แล้วผมอยากจะทำอะไรในปีนี้ ทำให้ผมมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นในการเป็นศิลปิน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการทำเพลงที่อาจจะไม่จำเป็นต้องดังก็ได้ แต่เพลงที่เราทำอาจจะไปสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่งที่มีประสบการณ์ชีวิตร่วมกับเรา และการเชื่อมโยงแบบนั้นเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมากจริงๆ ครับ”

เปลี่ยนชีวิตจริงๆ ด้วย เราเห็นด้วย ถ้าเส้นทางการเป็นศิลปินของต้าห์อู๋ชัดเจนขนาดนี้แล้ว คิดว่าเส้นทางนี้จะส่งให้ต้าห์อู๋เดินไปถึงจุดไหน “สำหรับผมเองใช่ไหมครับ” เขาถาม เราพยักหน้า “เอาใกล้ๆ ก่อนละกันครับ ปีนี้ผมตั้งใจไว้แค่ว่าผมอยากจะมีแฟนเพลง ซึ่งคำว่า ‘แฟนเพลง’ คือฐานแฟนเบสที่ได้ยินเพลงของผมและเอาไปฟังซํ้าๆ เพราะเพลงมันไปเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ชีวิตของเขาไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง ผมรู้สึกว่าถ้าไปถึงจุดนี้ได้ก็ปลดล็อกสำหรับผมแล้วในปีนี้ แต่ต่อไปมันจะดันขึ้นมาได้อีกแค่ไหน ได้มีโอกาสขึ้นเวทีอะไร นั่นก็จะไปอีกขั้นหนึ่ง” แล้วมีศิลปินคนไหนที่อยากขึ้นเวทีร่วมกันบ้างไหม “มีครับ มีในใจมานานแล้ว” ตอบแบบไม่คิดอีกครั้ง “พี่เจฟ ซาเตอร์ ครับ เขาเป็นเทพเจ้าสำหรับผมจริงๆ อยากไปร้องเพลงกับเขา พอผมได้มีโอกาสทำงานกับศิลปินหลายๆ ท่าน ก็เหมือนได้รับพลังงานจากพวกเขา และถ้าได้ร่วมงานกับคนที่มีแพสชั่นอย่างพี่เจฟ ผมรู้สึกว่ามันคงผลักดันอะไรในตัวเราได้มากแน่ๆ ครับ”

บทสนทนากำลังสนุก แต่เวลาเรากำลังจะหมดแล้ว คำถามสุดท้ายคือ มีอะไรอยากจะเล่าให้เราฟังอีกไหม ว่ามาได้เลย “ปีนี้เป็นปีที่ปลดล็อกอะไรหลายๆ อย่างให้ผมจริงๆ นะครับ” ต้าห์อู๋ยํ้าสารเดิม “เรื่องการได้เริ่มทำเพลงที่มีสารตั้งต้นเป็นตัวเรา และประสบการณ์ต่างๆ ที่เราได้รับมา มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราจะเอาอย่างอื่นมาเป็นสารตั้งต้น อย่างเรื่อง performance เพลงจะเริ่มต้นที่ว่า performance ต้องดีก่อน อย่างอื่นค่อยตามมา แต่ปีนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นองค์ประกอบ เลยรู้สึกได้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ผมได้ลองอะไรใหม่ๆ และผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะพาผมไปถึงไหนได้ แต่มันก็น่าตื่นเต้นสุดๆ อย่างตอนนี้ ผมก็ไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนว่าผมจะได้เป็น Spotify RADAR Artist ผมก็เลยอยากจะมาดูว่าสารตั้งต้นที่มาจากตัวของผมจะพาผมไปถึงตรงไหน และผมก็อยากรู้ว่าการที่ผมมีผลงานแบบนี้ มันจะตอบโจทย์ความเป็นศิลปินของผมได้จริงๆ ไหม ต้องเล่าก่อนว่า ผมมีช่วงที่ค่อนข้างเคว้งเหมือนกันว่าผมอยากจะเป็นศิลปินแบบไหนกันแน่ ผมควรจะทำเพลงแบบไหน เพราะการเป็นศิลปินมันมีความคาดหวังมาว่าเพลงยูต้องดังนะ แต่มันไม่จริงเลย มีศิลปินตั้งเยอะแยะที่ทำเพลงเพราะอยากบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และก็มีหลายคนเช่นกันที่ไม่ได้อยากจะฟังเพลงดัง เขาแค่อยากจะฟังเพลงอะไรก็ได้ที่เขาสามารถเชื่อมโยงได้ หรืออาจจะฟังเพื่อความสนุก พอปลดล็อกได้แบบนี้ ผมคิดว่าการทำเพลงมันจะสนุกมากขึ้นแน่ๆ ครับ สำหรับผม”

คำถามสุดท้ายจริงๆ แล้ว เรารีบยกมือขออนุญาต เมื่อกี๊ต้าห์อู๋บอกว่าอยากรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะลงมือทำนั้นตอบโจทย์ความเป็นศิลปินของตัวเองมากน้อยขนาดไหน อะไรคือความเป็นศิลปินในแบบของต้าห์อู๋กันนะ บอกเราหน่อย “ผมว่ามันคือความสุขมวลรวมของการเป็นศิลปินนะ” ต้าห์อู๋ยังคงตอบเร็วเช่นเคย “การที่เพลงมันดังขึ้น มีงานมากขึ้น มันก็มีความสุขอย่างหนึ่ง แต่ความสุขในฐานะศิลปินคือความสุขที่ได้รับตอนขึ้นร้องบนสเตจละกันครับ ก่อนหน้านี้ผมเล่าเรื่องราวของคนอื่นมาตลอด อย่างเพลง ‘เป็นไรมั้ย (WOULD YOU MIND?)’ ที่เป็นเพลงแรกของผมก็เล่าจากมุมมองของตัวละคร เป็น OST เล็กๆ ดังนั้น เวลาขึ้นร้องเพลงนี้ ก็เหมือนเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องราวของคนอื่น ซึ่งความรู้สึกก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละเวที แต่ผมไม่รู้เลยว่า ในปีนี้ ถ้าผมได้ร้องเพลงที่ออกมาจากตัวเองมากๆ มันจะเป็นยังไง จะพาผมไปถึงไหน คนจะชอบเพลงของผมมั้ย หรือผมจะมีความสุขกับมันมากแค่ไหน แต่แค่ได้เริ่มลองทำอะไรแบบนี้ก็รู้สึกดีมากแล้วครับ” เอสไควร์ ประเทศไทย ขอเอาใจช่วยให้ต้าห์อู๋
อยู่ท่ามกลางสปอตไลต์และคนที่รักต้าห์อู๋ไปนานๆ นะ เขายิ้มรับ และบทสนทนาของเราก็จบลง

- COVER ART -

Most Popular

More to See