back to top
HomeEntertainmentเอสไควร์ประเทศไทยชวน Danny O’Donoghue ฟรอนต์แมนแห่งวง...

เอสไควร์ประเทศไทยชวน Danny O’Donoghue ฟรอนต์แมนแห่งวง The Script คุยก่อนขึ้นคอนเสิร์ต Satellites World Tour ที่กรุงเทพมหานคร

Photographs by Toh Virunan
Fashion Editor: Dome Songprakon 
Story by Pacharee Klinchoo

แม้ว่าเราจะรู้จักกับ Danny O’Donoghue ฟรอนต์แมนแห่งวง The Script มาตั้งแต่ครั้งที่เขาและ Mark Sheehan เป็นเพื่อนร่วมวงบอยแบนด์ MyTown ที่มีเพลงฮิตติดหูกันทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง Now That I Found You แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่เราได้มีโอกาสลงนั่งคุยกับเขาต่อหน้า และโอกาสครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มาร์คจากเราไปตลอดกาลแล้ว ตอนแรกเราคิดว่าบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างเรากับเขาครั้งนี้คงจะไม่มีอะไรมาก นอกจากเป็นโอกาสให้เราบอกเขาว่า เราเป็นแฟนกับเขามาตั้งแต่ที่เขาเดบิวต์ (จริงๆ) และเราดีใจแค่ไหนที่เขาตัดสินใจไปต่อกับ The Script แม้ว่าจะไม่มีมาร์คแล้วก็ตาม แต่หลังจากเราได้ลงนั่งคุยกับเขา เรารู้เลยว่า มันต้องมีเหตุผลแหละว่าทำไมเราถึงติดตามผลงานของคนบางคนมาตลอด แม้ว่าช่วงเวลาและความสนใจในชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนก็ตาม

“ผมชอบรอยสักของคุณนะ มันเจ๋งดี” แดนนี่เปิดบทสนทนากับเราด้วยท่าทีสบายๆ สายตาสงบนิ่งท่ามกลางทีมงานของเราที่เซ็ตไฟรอถ่ายเขาด้วยอาการตื่นเต้น ส่วนตัวเราน่ะเหรอ… เราตื่นเต้น แต่เราทำทรงว่าเราไม่ตื่นเต้น… โอเค… แดนนี่รู้ว่าเราตื่นเต้นแหละ เขาเลยเปิดบทสนทนาแบบนั้น เรายิ้มให้เขา เวิลด์ทัวร์แต่ละครั้งเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างตามขวบปีที่คุณเติบโตขึ้น เราเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว (ไม่มีเวลาให้ซึ้งนาน เพราะสล็อตของเราไม่นานมากนัก และเราอยากถ่ายรูปของเขาออกมาให้ดีที่สุด เพราะใครจะไปรู้ นี่อาจจะเป็นการพบหน้ากันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายระหว่างเรากับเขาก็เป็นได้) “คือทุกอัลบั้มจะมีธีมของมันครับ” แดนนี่ตอบทันที ราวกับมีคำตอบสำเร็จรูปลอยวนอยู่ในหัวอยู่แล้ว “เราจะพยายามเล่นคอนเสิร์ตให้ตรงกับธีมนั้นๆ ก็แล้วแต่เลยว่าในทัวร์แต่ละครั้งเราจะสื่อสารแมสเสจอะไรไปถึงคนดู สำหรับผม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ ในแต่ละทัวร์ที่เราออกนั้น เราตระหนักดีว่าพฤติกรรมในการเสพคอนเสิร์ตของคนดูเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มาก ผู้คนมีปฏิกิริยากับคอนเสิร์ตและมหรสพอื่นๆ มากขึ้นมากๆ ในยุคนี้ พวกเขาไม่ได้แค่มาเพื่อดูโชว์เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว พวกเขาต้องการอะไรบางอย่างจากคอนเสิร์ตที่พวกเขามาเข้าร่วม การไปดูคอนเสิร์ตในปัจจุบันนี้คือไม่ใช่การไปดูคอนเสิร์ตเฉยๆ อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการไปหาคอนเทนต์ที่พวกเขาสามารถแชร์ลงโซเชียลมีเดียของพวกเขาได้ตลอดเดือนถัดไป

“ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องมีนอกเหนือไปจากพลังในการแสดงคอนเสิร์ตตามปกติแล้ว” น้ำเสียงของเขายังคงเป็นการเป็นงาน “คุณต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนในกลุ่มคนดูนั้นมีโมเมนต์ใดๆ ก็ตามร่วมกับคุณ เพื่อที่พวกเขาจะได้แชร์ประสบการณ์การดูคอนเสิร์ตของคุณออกไปได้ในวงกว้าง การขึ้นคอนเสิร์ตในยุคนี้มันไม่ใช่แค่คุณขึ้นไปแชร์ประสบการณ์ของคุณกับคนดูฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว แต่โลกปัจจุบันเปิดโอกาสให้คนดูแชร์ประสบการณ์ที่พวกเขาได้รับในคอนเสิร์ตของคุณกับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในคอนเสิร์ตนั้นทั่วโลกเลยครับ มันเป็นเอฟเฟกต์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจนเป็นปกติในยุคปัจจุบัน ผมเลยพยายามมากๆ ที่จะให้ทุกคนมีส่วนร่วมกับโชว์ของผม ทั้งหาซีนให้เขามอง หรือเอาตัวเองให้ไปใกล้ๆ ทุกคนมากขึ้น เพื่อให้คนที่นั่งไกลๆ รู้สึกว่าพวกเขามีโมเมนต์ให้ร้องว้าว หรือโมเมนต์ที่พวกเขาคาดไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้น อะไรแบบนั้นครับ และผมพยายามดีไซน์ประสบการณ์เหล่านั้นให้สอดคล้องไปกับเวนิว และพื้นที่ที่ผมไปแสดงคอนเสิร์ตด้วยครับ” 

ในระหว่างที่นั่งฟังเขาอยู่ เราอดคิดถึงบางเรื่องไม่ได้ นั่นคือ… เราเป็นเจนที่ไปดูคอนเสิร์ตเพื่อดูคอนเสิร์ต (เรียกง่ายๆ ว่าแก่) ในขณะที่เด็กเจนใหม่ไปคอนเสิร์ตเพื่อหาคอนเทนต์ และศิลปินบางคนก็รู้สึก ‘หงุดหงิด’ ที่บรรดาแฟนๆ ไม่เอนจอยโมเมนต์ตรงหน้า แต่กลับยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายวิดีโอกันแบบยาวๆ ซึ่งฟังแล้ว แดนนี่นอกจากจะไม่หงุดหงิดแล้ว เขายังพยายามออกแบบคอนเสิร์ตเพื่อเสิร์ฟคอนเทนต์ที่ทุกคนต้องการอีกด้วย “เวลาที่ผมเดินเข้าไปหาผู้คน ผมพยายามทำให้พวกเขารู้สึกว่าอ้าว… โผล่มาจากตรงนี้ได้ยังไง คือผมก็ทำงานเป็นศิลปินมาตลอดเนอะ ผมเลยรู้ว่าการเป็นคนดังมันเป็นอย่างไร อธิบายงี้นะ…” เขาเริ่ม “เวลาคุณเห็นนักร้อง หรือดาราคนโปรดของคุณเดินผ่านคุณบนถนน พวกเขาจะตัวสั่น คุณพอจะเห็นภาพใช่ไหม ผมเข้าใจดีเลย เพราะตอนผมเด็กๆ ผมก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน ผมเลยอยากจะมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนอื่นๆ ในตอนนี้ที่ผมพอจะทำได้น่ะครับ และผมก็รู้สึกว่าผมมักจะใจอ่อนกับเด็กๆ อยู่แล้วน่ะครับ เวลาผมเดินไปไหนมาไหน และผมเห็นแฟนเพลงเด็กๆ ผมจะเดินเข้าไปหาพวกเขา ไปทักทาย ไปจับมือ หรือมีปฏิกิริยาอะไรบางอย่างกับพวกเขา ให้เขารู้สึกดีกับผม คุณไม่รู้หรอก บางทีพวกเขาอาจจะกลายมาเป็นนักร้องนำของวงอะไรสักวงบนเวทีในอีกสิบหรือสิบห้าปีข้างหน้าก็เป็นได้ครับ” 

คุณทัศนคติดีมากเลยนะ เราบอกเขาไปตรงๆ และการมีทัศนคติที่ดีแบบนี้มันก็มาพร้อมอายุ และริ้วรอยบนใบหน้านะ เราหยอก เขาหัวเราะ “ผมแค่พยายามจะอยู่กับปัจจุบันให้ได้ และมีความสุขกับโมเมนนต์ตรงหน้าให้ได้มากที่สุดน่ะครับ ผมว่าปัญหาต่างๆ อย่าง anxiety หรือ panic นั้นเกิดจากการจินตนาการถึงอนาคต หรือการไม่ยอมปล่อยวางเรื่องในอดีต ซึ่งมันก็ทำให้คุณเครียดโดยไม่จำเป็น เพราะฉะนั้น ตราบใดที่คุณอยู่กับช่วงเวลาปัจจุบันตรงหน้า คุณก็แค่จัดการปัญหาแค่ตรงหน้า มันไม่มีปัญหาไหนยากจนเกินไปหรอกครับ อย่างตอนนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้คือคุณ กับผมสีแดงเข้มของคุณ” ขอบคุณนะ เรายิ้ม “บทสนทนาดีๆ ระหว่างเรา และทีมงานที่น่ารัก เท่านั้นเลย ถ้าจู่ๆ ผมเกิดคิดเลยไปถึงวันคอนเสิร์ตว่าจะมีคนแบบไหนมาที่คอนเสิร์ตของผม พวกเขาจะชอบสิ่งที่ผมเล่นไหม นั่นเป็นจุดที่ทำให้คุณก้าวไปสู่สวนแห่งปิศาจ (the garden of evil) ซึ่งจริงๆ แล้วไอ้สวนนี่มันอยู่ไม่ไกลคุณเลย คุณก้าวผิดนิดเดียว คุณก็เข้าไปแล้ว” 

นั่นไง… ความเข้าใจโลกแบบนี้มันมาพร้อมริ้วรอยจริงๆ นะ เพราะตอนที่พวกเราเด็กๆ กันกว่านี้ เรามักจะเดินเข้าไปในสวนนั้น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ มันเกิดขึ้นตลอดเวลาจริงๆ นะ เราเลยต้องการเพลงของ The Script มาช่วยเตือนสติเราไง “ใช่เลย บางครั้งคุณแค่เดินเข้าไปเอง บางครั้งเพื่อนจูงคุณเข้าไป และบางครั้งคุณก็เดินจูงมือกันเข้าไป และเขาก็ทำลายคุณ ทิ้งให้คุณบาดเจ็บอยู่ตรงนั้น ใช่เลย เป็นแบบนั้นแหละ” 

เรายิ้ม เขาก็ยิ้ม แต่เราทิ้งเวลาได้ไม่นานนัก เพราะช่างภาพและสไตลิสต์นั่งมองหน้าเราอยู่ (เราขอโทษ เรารู้ว่าพวกคุณฟังพวกเราอยู่ แต่ตอนนั้นเรารู้สึกถึงแรงกดดันจริงๆ นะ) สรุปจบกันดีกว่า คุณมีแพลนอะไรหลังจากทัวร์นี้หรือยัง “ไม่รู้เหมือนกันแฮะ” แดนนี่ลังเล “พวกเราก็จะมี Satellites Show ตามมิวสิกเฟสติวัลตลอดซัมเมอร์นี้ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทัวร์จริงจัง แต่มันก็เป็นโชว์น่ะครับ แต่หลังจากนั้นผมไม่มั่นใจเลยครับ ผมแค่อยากจะใช้ชีวิตผ่านประสบการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มาร์คจากเราไปให้ได้ก่อนน่ะครับ และพวกเราก็มาถึงจุดนี้แล้ว จุดที่พวกเราพยายามกลับมาทำงานกันอีกครั้งน่ะครับ” เสียงเขาเฟดไปเล็กน้อย “ผมรู้สึกว่า… ผมก็พยายามหาเวลาอยู่กับตัวเองนะ แต่การกลับมาทำงานอีกครั้งก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้คุณไม่ติดอยู่กับโมเมนต์แห่งความสูญเสียนานเกินไปน่ะครับ ดังนั้น พอจบงานนี้ ผมจะลงนั่งนิ่งๆ และพิจารณาถึงสิ่งที่ผมเป็นมาตลอดสองปีที่ผ่านมาว่าผมเจออะไรมา ผมเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ผมได้รับประสบการณ์อะไรมาตั้งแต่เขาจากไป แล้วผมค่อยมาคิดจริงจังว่าผมจะทำอะไรต่อไปกันแน่” 

เขาหยุด เราเงียบ สองปีแล้วเหรอ เรารำพึง “ใช่ สองปีแล้ว” เวลาผ่านไปไวมากเลยนะ “ผมถึงบอกให้คุณเอนจอยโมเมนต์ตรงหน้าให้ได้มากที่สุด อยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด เพราะมันย้อนกลับมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” สองปีแล้วเหรอเนี่ย เรายังสติวรำพึง แต่คุณแพลนจะ ‘come back’ อยู่แล้วใช่ไหมนะ “แน่นอนอยู่แล้วสิ” แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที “ผมอยากจะ come back ในฐานะนักท่องเที่ยวนะ เพราะทุกครั้งที่ผมมาประเทศไทย คือผมมาในฐานะศิลปินตลอดน่ะ ผมมาทำงาน ต้องอยู่เงียบๆ ในห้อง รักษาเส้นเสียงของตัวเอง ออกไปไหนไม่ได้เลย ผมอยากจะ come back มาหลายๆ ที่ที่ผมเซฟไว้ อยากกลับมาเที่ยวจริงจังกับคู่หมั้นของผมน่ะครับ มาฮอลิเดย์ หาความสุขที่นี่” หมดเวลา… เราอ้าปากค้างไปหน่อย เพราะคำว่า ‘come back’ ที่เราถามนั้นหมายถึงค้มแบ็กแบบออกอัลบั้มใหม่น่ะแดนนี่ แต่เอาเถอะ แม้เราจะได้คุยกันในระยะเวลาสั้นๆ แต่ประสบการณ์และความประทับใจครั้งนี้จะอยู่กับเราไปตลอดแน่นอน เพราะเราได้เอนจอยเดอะโมเมนต์ตรงหน้าอย่างแท้จริงไปเรียบร้อยแล้วไงล่ะ

Photo Assistants: Wattanachok Chumkua / Surapun Thussanasriworakarn

- COVER ART -

Most Popular

More to See