Story by Rumaan Alam
J คือผู้หญิงที่เจ๋งที่สุดในที่ทำงานแรกของฉัน ที่ทำงานของฉันเป็นบริษัทสิ่งพิมพ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนโรงเรียนลุกคุณหนู เต็มไปด้วยผู้หญิงที่คุณมองแล้วก็รู้ทันทีว่า พวกเธอคงเคยจะมีรถหรูเป็นของตัวเอง อย่างน้อยก็คนละคันแหละวะ หากฉันเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่คนผิวขาว ไม่ได้เกิดมารวย เป็นเกย์สายหวาน ไม่ใช่เกย์สายกล้าม เพราะงั้น J แม่งก็เป็นตัวประหลาดเหมือนกัน ด้วยทรงผมบ๊อบสั้น พร้อมสวมเสื้อเชิ้ตจากร้านมือสองที่โชว์แขนลายสักของเธออย่างมั่นใจ
ฉันช็อกมากเมื่อรู้ว่า J อายุมากกว่าฉัน เหมือนกับไม่เคยคิดเลยว่าคนเราพอเป็นผู้ใหญ่แล้วดูเท่ได้ขนาดนี้ J มีสามีเป็นช่างสักที่มีบุคลิกแนวเนิร์ดๆ ที่ถ้าฉันไม่เห็นรอยสักบนแขนของเขา ฉันคงคิดว่าเขากำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ รอยสักส่วนใหญ่ของเขา เขาจะวาดเองกับมือ อีกทั้งเขายังเสนอกับฉันว่าจะสักให้ฉันหากฉันอยากลอง ตอนนั้นฉันยังเด็ก กำลังพยายามหาว่าตัวเองอยากเป็นคนแบบไหน ก็เลยเออออไปกับเขา และนอกจากนี้ ฉันยังคิดว่าเขาเท่ชะมัด ฉันอยากเป็นเหมือนเขา และเหมือน J นี่ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ฉันยืนอยู่ในครัวอพาร์ตเมนต์ของพวกเขาได้ยังไงก็ไม่รู้ ขณะที่เขากำลังร่างสิ่งที่ฉันขอ ”กะโหลกไขว้“ ทำไมถึงเป็นกระโหลกไขว้ ไม่รู้สิ ฉันลืมไปแล้ว หรืออาจจะไม่เคยมีเหตุผลมาตั้งแต่แรก
“ความหมายโคตรดี เพราะว่าสุดท้ายวันหนึ่งสิ่งที่เหลือหลังจากที่นายจากไปก็คือกะโหลกกับกระดูก” เขาพูดขณะลากเข็มลงบนแผ่นหลังของฉัน “รอยสักนี้จะอยู่กับเธอไปจนถึงวันที่ว่านั่นแหละ”
ตอนนั้นฉันอายุ 22 ซึ่งน่าจะแก่เกินไปแล้วที่จะบอกว่าฉันไม่รู้จักตัวเอง และยังหลงใหลในความคิดที่ว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นคนที่มีรอยสัก แต่ก็อาจจะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าความถาวรเป็นเพียงภาพลวงตา เมื่อไม่กี่ปีก่อน ฉันได้ยินข่าวว่าช่างสักรูปหล่อคนนั้นที่สักครั้งแรกให้ฉันเสียชีวิตไปแล้ว ฉันย้อนนึกถึงช่วงเวลานั้น รอยสักโง่ ๆ ที่ฉันเลือกนี้ ถูกตีความว่าเป็นการยอมรับความตายอย่างสดใส ซึ่งความตายเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่เรารู้แน่ชัดว่ายังไงก็ต้องเกิด
ฉันสักอักษรย่อชื่อสามีของฉันไว้บนแขนเมื่อนานมาแล้ว หลังจากนั้นก็สักชื่อของลูกคนแรกใต้ชื่อนั้น สามปีต่อมา มีลูกอีกคนก็สักอีกชื่อ เรียงกันเรียบร้อย แต่ไม่มีอะไรเหมือนกับรูปหัวกะโหลกและกระดูกไขว้เท่าไหร่ อย่างน้อยก็ในแง่ที่ว่าฉันรู้แน่ชัดว่าชื่อพวกนี้มันหมายถึงอะไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่ปี และฉันเข้าสู่วัย 40 อย่างเต็มตัว ฉันก็เจอตัวตนที่ฉันอยากเป็น และรอยสักก็ดูเหมือนจะเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา บางทีมันอาจเป็นเพราะในที่สุดฉันก็มีงบพอ อาจจะเป็นเพราะว่าฉันยอมรับร่างกายของตัวเองได้แล้ว หรือบางทีมันอาจเป็นเพราะฉันเข้าใจความจริงมากขึ้นว่าฉันจะกลายเป็นเพียงกะโหลกและกระดูกในสักวัน หรือเพียงเข้าใจว่าจริง ๆ แล้ว แม่งไม่มีใครเข้าใจเรื่องนั้นได้หรอก
ฉันไม่เคยนับรอยสักของตัวเองได้ครบเลย ส่วนหนึ่งเพราะบางจุดเป็นมุมอับที่ฉันมองไม่เห็น ช่างน่าขำที่ร่างกายเป็นของเรา แต่ดันมีจุดลับที่แม้แต่เรายังมองไม่เห็น จริง ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ เพราะจำนวนไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่สำคัญคืออะไรบางอย่างที่ค่อนจะเป็นส่วนตัว ซึ่งมันก็ยากจะอธิบายด้วยคำพูด เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคนที่ใช้คำพูดเป็นงาน ฉันเพิ่งเจอเพื่อนเก่าสองคนบนชายหาดในแคลิฟอร์เนีย แล้วพวกเธอก็ชี้ไปที่ต้นแขน ไหล่ และแขนของฉัน พร้อมถามว่า “ไอ้รอยสักทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร?”
จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ฉันยินดีเล่าให้ฟังอยู่แล้ว นี่คือรอยสักรูปเก้าอี้ ออกแบบในช่วงกลางศตวรรษโดย Marco Zanuso สมัยเด็กฉันมีเก้าอี้แบบนี้ตัวหนึ่ง ฉันมักจะจินตนาการว่ามันเป็นภูเขา เป็นสนามแข่งรถ เป็นฐานสำหรับตุ๊กตาทหาร G.I. Joe ของฉัน ทุกวันนี้ฉันย้ายมันมาไว้ที่ข้างโต๊ะทำงานของฉัน และเมื่อฉันเขียนหนังสือ วิธีแก้เคล็ดของฮันคือเอาต้นฉบับไปวางไว้ที่เก้าอี้นั่น แล้วทุกอย่างจะออกมาดี
ส่วนเรือของเล่นลำนี้เป็นเพราะตอนที่ครอบครัวของฉันไปปารีส ลูกชายคนโตของฉันที่ตอนนั้นก็โตเกินไปสำหรับกิจกรรมเด็ก ๆ แบบนี้แล้ว เช่าเรือเล็ก ๆ แบบนี้เพื่อปล่อยลอยในน้ำพุในสวนลักเซมเบิร์ก และเขาก็กลับกลายเป็นเจ้าตัวน้อยผู้คลั่งไคล้ยานพาหนะเหมือนที่ฉันเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้วอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่กว้างบนใบหน้า
จริง ๆ แล้ว รอยสักของฉันส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับครอบครัว หลายลายเป็นไอคอนและลวดลายที่ทำให้ฉันนึกถึงเมืองเล็ก ๆ ที่เรามักใช้เวลาช่วงฤดูร้อนด้วยกัน ฉันสักมันบนร่างกายของฉันเพื่อให้ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่เราเห็นแมลงปอหลายพันตัวบินว่อนบนชายหาด บ้านที่เราเช่าริมอ่าวซึ่งถูกคลุมด้วยใยแมงมุมนับร้อยทุกเย็นเพราะมีแมลงวันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ผีเสื้อที่เชื่องเสียจนยอมมาเกาะแขนคุณขณะที่เดินผ่าน ปูเกือกม้าที่เราพบเกยตื้นอยู่เป็นครั้งคราวเหมือนแขกที่มาจากยุคก่อนประวัติศาสตร์
ภาพทั้งหมดนี้เป็นผลงานสร้างสรรค์ของช่างสักแต่ละคน ยกเว้นปลาวาฬที่กำลังยิ้มแฉ่งที่อยู่บนปลายแขนของฉัน นั่นเป็นภาพวาดของ William Steig เป็นตัวเอกจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันรักจนมากพอที่จะน้ำตาคลอเวลาที่อ่านให้ลูกชายฟังก่อนนอน จนท้ายที่สุดฉันไม่สามารถอ่านมันจนจบได้เลย แต่บางทีมันก็ทำให้ฉันถึงงน้ำหนักตัวของเด็กอายุเจ็ดขวบที่กำลังง่วงนอน และเด็กเล็กที่อยู่ไม่สุขพร้อมกับแก้วนมพลาสติกที่อยู่ในมือ
ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเก็บสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไว้ตลอดไป นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเก็บตั๋วคอนเสิร์ตและเสื้อผ้าเด็กที่ใส่ไม่ได้แล้ว ถ่ายรูปทุกจานอาหารที่อร่อยมากจนลืมไม่ลง หรือถ่ายรูปน้องหมาที่ดีใจกับหิมะแรก เราอยากจดจำสิ่งเหล่านั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไว้ได้ทั้งหมด และมันก็ทำให้ฉันคิดได้ว่า บางทีถ้าฉันจารึกสิ่งเหล่านี้ไว้บนร่างกายล่ะ มันอาจจะคงอยู่ตราบเท่าที่ร่างกายฉันยังอยู่ ฉันยกยิ้มในใจพร้อมกับคิดว่า “ฉันนี่มันอัจฉริยะจริง ๆ “
เมื่อสองสามปีก่อน ฉันจ้างช่างสักคนหนึ่งให้ออกแบบรอยสัก ภาพในหัวของฉันคือเถากิ่งไม้ที่พันกันกับนกบนแผ่นหลังด้านซ้าย รอยสักที่ฉันเลือกเป็นลายเส้นบาง ๆ ใช้เพียงสีดำ ซึ่งมันก็ไม่ได้เจ็บมากนัก ส่วนใหญ่เวลาฉันสัก ฉันมักจะหลับลืมตายไปเลย เป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่ทำให้ฉันนึกคิดว่าในบางวัฒนธรรมนั้น การสักเป็นพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่ในครั้งนี้ไอ้พิธีกรรมบ้านี่กลับเป็นบททดสอบความอดทนของฉัน เพราะมันเป็นฤดูหนาว และฉันต้องถอดเสื้อในสตูดิโอขนาดใหญ่ที่หนาวเย็น ช่างสัก (ซึ่งตัวโคตรใหญ่) ก้มลงมาสักบนหลังฉันอย่างตั้งใจโดยใช้แรงเต็มที่ เดิมทีมันควรจะเสร็จรวดเดียว แต่หลังจากผ่านไป 5 ชั่วโมงเท่านั้น ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเลยขอให้เขาหยุดพักหายใจก่อนที่ฉันนี่แหละจะสิ้นใจไปเอง เขาห่อแผ่นหลังของฉันด้วยพลาสติกและบอกฉันว่าตอนนี้เขาเองก็เริ่มปวดหลังแล้วล่ะ
แน่นอนว่ายังไงสุดท้ายการสักของฉันก็ต้องหยุดลง สักวันหนึ่งมันก็ต้องไม่เหลือที่ให้สักแล้ว หรือฉันอาจจะหมดความสนใจไปเอง หรืออาจจะเลยอายุที่จะสักแล้ว ฉันนึกภาพตัวเองตอนอายุ 60 จะไปสักลายใหม่ไม่ออก ไม่ใช่เพราะคิดว่ามันไม่เหมาะสม แต่เพราะฉันกังวลว่าจะทนไม่ไหว เหมือนที่ฉันไม่สามารถดื่มค็อกเทลแก้วที่สามในมื้อค่ำหรือหลับเกินหกโมงเช้าได้อีกแล้ว สัญญาณเล็ก ๆ ที่คอยเตือนว่าคุณกำลังแก่ขึ้นจริง ๆ
ตอนนี้ฉันมีรอยสัก ใช่ แต่สุดท้ายฉันก็ไม่ได้เหมือนผู้ใหญ่สุดเท่ที่คิดว่าตัวเองจะเป็นเมื่อตอนอายุ 22 ตอนที่ฉันไปสักครั้งแรกกับสามีของเพื่อน หรือบางทีพวกเราคงไม่มีใครได้เป็นคนที่เราคิดว่าจะเป็นกันสักคนหรอก
ครั้งหนึ่ง ฉันกลับมาจากการไปสัก แน่นอนว่าจำไม่ได้ว่าเป็นครั้งไหนเพราะมันเยอะมาก ลูกชายคนเล็กของฉันมองดูภาพใหม่บนร่างกายฉันแล้วพูดว่า “ผมว่า มันก็เท่ดีนะ” คำชมที่พ่อแม่หลายคนรอฟังแต่ไม่ได้ยิน ฉันแปลกใจและถามเขาว่าสนใจจะสักตอนโตหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าเขาเข้าใจผิดว่าโตขึ้นเขาต้องไปสัก เพราะมันคือการแสดงว่าฉันคือผู้ใหญ่สุดเท่ ฉันหัวเราะในใจแล้วอธิบายให้เขาเข้าใจใหม่ การเป็นผู้ใหญ่หมายความว่าตราบใดที่มันไม่ผิดกฎหมายหรือโหดร้าย คุณสามารถทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ คุณไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรเลย ก็แค่ช่างแม่ง แล้วทำมันซะ