กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่กับ TAEYEON กับเรื่องราวของมินิอัลบั้มชุดที่ 6 ‘Letter To Myself’ ด้วยเสียร้องอันเป็นเอกลักษณ์ผ่าน 6 บทเพลงของโลกดนตรี SONE มีใครยังไม่ได้ฟังกันไหมครับ?
หลายคนรอการกลับมาอีกของเจ้าแม่เพลงบัลลาดกันอยู่ใช่ไหมครับ กับแทยอนวง Girls’ Generation ล่าสุดเธอได้กลับมาพร้อมมินิอัลบั้มชุดที่ 6 ‘Letter To Myself’ พร้อมถ่ายทอดคำปลอบโยนและความรู้สึกร่วม อัลบั้มใหม่นี้เป็นการกลับมาใน 1 ปี หลังจากมินิอัลบั้มชุดที่ 5 ‘To. X’ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งยังคงติดอันดับต้นๆ บนชาร์ตเพลงดิจิทัลหลักในประเทศเกาหลีใต้จนถึงปัจจุบัน และได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน
โดยสำหรับอัลบั้มนี้ ประกอบด้วยแนวเพลงที่แตกต่างกันทั้งหมด 6 เพลง เช่น แนวอาร์แอนด์บีบรรยากาศเรียบๆ สบายๆ ตามสไตล์แทยอนและถัดมาที่แนวป็อปมากเสน่ห์ อัลบั้มนี้เป็นผลงานที่บอกเล่าเรื่องราวโดยเน้นไปที่อารมณ์ของตัวเองและโลกภายใน ยามเผชิญกับโลกภายนอกในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อส่งข้อความปลอบโยนอันอบอุ่นผ่าน TAEYEON ที่กลายเป็นทั้งประธานและกรรม
ในเพลงไตเติลอย่าง Letter To Myself นั้นเป็นเพลงแนวป็อปร็อกที่ผสมผสานเสียงกีตาร์อันไพเราะเข้ากับทำนองที่สละสลวยแต่ท่วมท้น ซึ่งแทร็กที่มีความยิ่งใหญ่และการร้องเพลงราวกับปลดปล่อยทุกอารมณ์ของเธอจะสร้างบรรยากาศอันน่าทึ่ง ปลุกความรู้สึกอันเข้มข้นและอ่อนไหว เนื้อเพลงเป็นจดหมายที่ตรงไปตรงมาจากตัวตนปัจจุบันถึงตัวตนในอดีตที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด สื่อถึงถ้อยคำปลอบโยนที่ไม่สมบูรณ์แต่จริงใจซึ่งฝังลึกอยู่ภายใน
ถัดมาที่เพลง Blur เป็นเพลงแนวอาร์แอนด์บี สร้างอารมณ์อันเข้มข้นด้วยไลน์กีตาร์ที่น่าหลงใหล เสียงเบสที่เย้ายวนใจ และเสียงกลองที่หนักแน่น เนื้อเพลงพูดถึงความรู้สึกของการตระหนักรู้ว่า ตัวเองได้เบลอไปกับการปรับตัวตามมาตรฐานของคนอื่น และการมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนในแบบที่ตัวเองเป็น ไม่ใช่ในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น, Hot Mess เพลงแนวป็อป มาพร้อมบรรยากาศอันมีเสน่ห์ จากการบิดเบือนเสียงกีตาร์แบบหยาบ ท่อนซินธ์ที่เท่ และเสียงร้องที่เข้าถึงอารมณ์ เนื้อเพลงเกี่ยวกับการเลือกความไม่สมบูรณ์อย่างไม่ลังเลแม้แต่ในโลกที่วุ่นวาย
ขณะเดียวกันก็ยังคงแสวงหาความสบายและความหมาย, Stranger เพลงแนวอาร์แอนด์บี ส่งความรู้สึกอันลึกซึ้งผ่านไลน์เปียโนแสนไพเราะและเสียงกีตาร์คลอเบาๆ อีกทั้งยังดึงดูดผู้ฟังด้วยเสียงร้องของ TAEYEON ที่ถ่ายทอดความสงบและผ่อนคลาย เนื้อเพลงใช้ธีมของความเหงาและความเป็นอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนแปลกหน้ารู้สึกท่ามกลางผู้คนในยามที่ต้องเผชิญกับเมืองที่ไม่คุ้นเคย บอกเล่าถึงช่วงเวลาที่อารมณ์ต่าง ๆ ทั้งความไม่คุ้นเคยและความแปลกประหลาดมาบรรจบกัน
ถัดมากันที่ Blue Eyes เพลงแนวอาร์แอนด์บี ผสมผสานเสียงร้องสุดละมุนและอบอุ่นเข้ากับแทร็กที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยใช้ไลน์กีตาร์ที่ไพเราะและกลองจังหวะแทร็ป เนื้อเพลงเปรียบเทียบถึงหัวใจที่กระโดดเข้าหาความรักโดยไม่ลังเล แม้อยู่ท่ามกลางอารมณ์ที่โหมกระหน่ำเหมือนคลื่นลูกใหญ่
ปิดท้ายด้วยเพลง Disaster เพลงแนวป็อปร็อกที่กระตุ้นความรู้สึกอ่อนไหว ผ่านจังหวะกลองแบบหยาบและไดนามิก เนื้อเพลงบรรยายถึงความรักที่ใครๆ ก็เต็มใจกระโดดเข้าหา ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องจบลงด้วยความสิ้นหวัง โดยนำเสนอออกมาแบบขัดแย้งกันว่า “ความหายนะที่สมบูรณ์แบบ”
“ฉันอยากจะบอกกับตัวเองว่า ‘มาทำสิ่งที่เราทำมาตลอดกันเถอะ’ และอยากจะบอกกับผู้ฟังว่า ‘หวังว่าคุณจะมีความกระหายต่อไปในอนาคต และฉันจะเป็นคนเติมเต็มให้คุณอยู่เสมอ’” และ “ฉันตั้งใจเตรียมอัลบั้มนี้อย่างหนักไปพร้อมกับการจินตนาการถึงวันที่เราจะได้สนุกด้วยกันในฮอลล์คอนเสิร์ต ดังนั้น หวังว่าทุกคนจะเพลิดเพลินกับอัลบั้มนี้ทั้งกายและใจ”