Story by Panny White
Photographer by John Tods
Fashion Editor by Dome Songprakon
เสน่ห์ที่ถูกส่งผ่านแววตากลมคมเข้มกับลุคสบายๆ ที่เราต่างคุ้นตาของ จุง-อาเชน ไอย์ดึน นักแสดงหนุ่มวัย 23 ปีจากค่ายจีเอ็มเอ็มทีวี (GMM TV) ที่เดบิวต์ครั้งแรกในบทมิ่งขวัญจากซีรีส์เรื่อง ‘เดือนเกี้ยวเดือน 2 (2Moons The Series)’ และในบท คาบคลื่น จากซีรีส์ ‘แล้วแต่ดาว (Star In My Mind The Series)’ จนมีผลงานมากมายทั้งบทบาทของนักแสดง นายแบบ พิธีกร รวมถึงการเป็นศิลปินที่รอวันปลดล็อคส่งซิงเกิลของตัวเองออกไปสู่แฟนๆ ในวงกว้าง
เราชวนจุง-อาเชนคุยถึงก้าวแรกสู่วงการบันเทิง มุมมองต่ออาชีพนักแสดงที่ว่าด้วยการเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ งานพาร์ทดนตรี ภาพความสำเร็จ รวมถึงการสไตลิ่งลุคที่บ่งบอกถึงตัวตนของเขา
Part1: When I Was Young
จากเด็กหนุ่มที่เกิดและเรียนที่กรุงเทพฯ จนถึง ป.2 ย้ายไปเติบโตในอิสตันบูล เมืองหลวงแห่งประเทศตุรกีเป็นเวลานับ 10 ปี “ตอนเด็กๆ คุณแม่แต่งงานใหม่ เลยย้ายไปอยู่ประเทศตุรกีกับคุณพ่อเลี้ยง จนอายุ 16 ปี ผมก็กลับมาที่ไทย เลยเป็นเด็กที่พูดได้สองภาษา ได้เรียนรู้สองวัฒนธรรม ซึ่งความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คงเป็นเรื่องอาหารการกิน เพราะอย่างที่ตุรกีอาหารจะมีความเครื่องเทศ เนื้อ มันๆ หน่อย แต่อาหารไทยก็จะเป็นสามรส เค็ม เปรี้ยว หวาน”
เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญที่นำมาสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป บ้างก็สุขสมหวัง บ้างก็ผิดหวังที่ล้วนหล่อหลอมให้เราเป็นเราดังเช่นทุกวันนี้ ซึ่งเมื่อชวนมองย้อนกลับไปจุงเองก็บอกว่าการตัดสินใจเดินทางกลับมายังประเทศไทยคือเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่งในชีวิต
“คิดว่าการกลับมาที่ประเทศไทยนี่แหละ ก่อนที่จะกลับมามันก็มีช่วงที่ต้องตัดสินใจ เพราะผมเรียนช้าไป 2 ปีจากการมาอยู่ที่ตุรกีตั้งแต่ 8-9 ขวบ ก็เลยต้องมาขึ้น ป.1 ใหม่ พออายุ 16 ปีก็ตัดสินใจกลับมาไทยเพราะจะได้เรียนจบเร็วๆ”
Part2: The Beginning of The Star
หลังจากกลับมายังบ้านเกิด แม้จะยังไม่ได้มีเส้นทางชีวิตที่ชัดเจนนัก แต่เขาก็เลือกเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำในสิ่งที่แปลกใหม่ จนมาเจอเข้ากับจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เริ่มทำความรู้จักตัวตน ความสามารถ รวมถึงการพัฒนาตัวเองบนเส้นทางของวงการบันเทิง
“การได้ไปแข่งเวทีมิสเตอร์ทีนไทยแลนด์ปี 2018 ประกวดเดินแบบ ซึ่งผมเองไม่เคยเดินแบบมาก่อน ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย นอกจากไปหาประสบการณ์ ไม่ได้เรียนหรือซ้อมอะไรเลย หาเสื้อผ้าเอง ก็ไปสมัครที่โซนภาคเหนือ เพราะภาคกลางเต็มแล้ว ก็ลองไปแข่งแล้วก็ชนะเข้ารอบจนมาถึงเวทีที่กรุงเทพฯ ก็ได้ที่หนึ่งเฉยเลย (ยิ้ม)”
“ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร หรือทำอะไรได้บ้าง ก็รู้สึกว่า เฮ้ย…เราก็ทำอะไรเป็นนี่หว่า เพราะช่วงที่กลับมาไทยแรกๆ ยังไม่มีเพื่อน ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าสังคม หาเพื่อน หาจุดยืนของตัวเองอย่างไร แต่พอได้ไปประกวด ได้เจอทีมงาน พี่ๆ ช่างแต่งหน้า ช่างภาพ ก็ทำให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มากขึ้น เราก็พร้อมเจอคนมากขึ้น เป็นก้าวแรกที่ได้เจอผู้คน ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ถามว่าเป็นจุดเปลี่ยนไหม? ไม่ขนาดนั้น แต่เหมือนเป็นก้าวเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่มากกว่า”
เมื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เหมือนเป็นใบเบิกทางบนเส้นทางในวงการบันเทิง คงไม่แปลกหากโอกาสจะวิ่งเข้ามาราวกับเรื่องบังเอิญที่จุงเล่าให้ฟัง หลังเราถามถึงการต่อยอดจากเวทีประกวดเดินแบบ
“ผมเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 17 ปี ถึงตอนนี้ก็ 6 ปีแล้ว ถ้าย้อนกลับไปวันแรกๆ ตอนนั้นเดินเล่นอยู่ที่สยามกับเพื่อน แล้วก็มีพี่แมวมองหรือแคสติ้ง ชวนไปแคสติ้งวันนั้นเลย วันนั้นมีแคสติ้งซีรีส์เรื่องหนึ่งที่สยามเซนเตอร์ จำได้ว่าเราไม่ได้แต่งหน้าทำผม ใส่เสื้อยืดกับแจ็คเก็ตยีนส์ธรรมดาๆ เป็นช่วงที่ยังไม่ได้รู้จักการดูแลตัวเอง ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ซึ่งบรรยากาศตอนที่รอต่อแถวก็จะมีแฟนคลับของคนที่มาแคสติ้งเหมือนกันคอยตะโกนให้กำลังใจ “สู้ๆ นะ” ตอนนั้นมันก็เป็นประกายนะ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะเราจะมีแบบเขาสุดท้ายวันนั้นเราก็แคสต์ผ่าน”
Part3: A Time to Prove Yourself
จากเด็กหนุ่มที่ยังมีความมั่นใจไม่มากเท่าที่ควร แต่เมื่อได้รับโอกาสมาแล้ว การพัฒนาตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองเหมาะสมกับโอกาสเหล่านั้น ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการมีครูที่ดีเขาบอกกับเราแบบนั้น
“ผมว่าเป็นโชคดีที่มีโอกาได้เจอครูด้านการแสดงดีๆ หลายคนนับไม่ถ้วนเลย แต่ไม่ได้เรียนด้วยแบบถี่ๆ อาจจะ 3-4 ครั้ง ซึ่งแต่ละคนก็จะให้บทเรียนแตกต่างกันไป แต่หลักๆ ตรงกลางคือการได้เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ท่าที การแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ผมเคยทำเวิร์คช็อปหนึ่งที่ทำให้ตัวเองเหนื่อยมากๆ แล้วในหัวเราจะโล่ง ไม่คิดอะไร ไม่ต้องคิดว่าจะแสดงออกแบบไหน มันคือการรีแอคกับสิ่งนั้นๆ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง รวมถึงเรื่องการรับส่งบทหรืออารมณ์ที่จริงๆ มันมีจังหวะที่ธรรมชาติมากๆ อยู่”
“ผมเป็นคนที่ชอบการแสดง สมมุติว่ามีบทมาก็อยากจะเข้าไปเป็นคนอื่น อยากจะลองเลือกชอยส์ในการเล่น อย่างถ้าเป็นคน ซีนบอกลาคนรัก เราอาจจะเล่นแบบ หน้าเศร้า ร้องไห้ หรือ ร้องไห้ แต่หน้ายิ้ม อะไรแบบนี้ถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่มันมีอย่างอื่นที่เข้ามาซัพพอร์ตสิ่งที่มีอยู่แล้ว หรือการลงดีเทลในการอ่านบท ตีความตัวละครต่างๆ ทำการบ้านมาก่อน ซึ่งตอนเด็กๆ เราอาจจะมองข้ามจุดนี้ไป”
“เมื่อก่อนเราจะคิดว่าการแสดงที่ดีต้องมีรางวัลการันตีมีชื่อติดอยู่ว่าคนนี้แสดงดีนะ แต่ตอนนี้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปเยอะมาก การแสดงที่ดีคือการแสดงที่ทำให้คนรู้สึกกับสิ่งที่เราแสดงออกมา ให้คนดูเศร้าหรือสุขตามเราได้ เชื่อมต่อกันได้ หรืออีกมุมหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมู้ดไหนก็ตาม เหนื่อยๆ กับมาดูซีรีส์หรือผลงานที่เราแสดง แล้วทำให้เขาหายเหนื่อย ยิ้มได้ นั่นถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ความสุขของคนดูก็ถือว่าเป็นรางวัลของเราแล้ว”
Part4: Perspective on Success
แน่นอนเส้นทางนักแสดงหนุ่มอย่างจุงอีกยังไกล และยังมีเวลาให้แฟนๆ ได้ติดตามให้กำลังใจอีกยาว แต่เมื่อได้นั่งคุยกับเขา เราก็คงอดถามไม่ได้ถึงภาพความสำเร็จที่เจ้าตัวมองเอาไว้ ซึ่งตัวจุงแบ่งเรื่องนี้ออกเป็นสองพาร์ทหลักๆ
“มันเรียบง่ายมากเลยครับ เรามีแฟนคลับเยอะๆ แล้วทุกคนได้มาเจอกัน อาจจะเป็นในคอนเสิร์ตจัดในฮอลล์ เราอยู่ตรงกลาง ร้องเพลงไปพร้อมๆ กับคนที่เรารัก และรักเรา แต่ถ้าเป็นชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่ดาราชายท่านหนึ่ง ก็จะเป็นผู้ชายง่ายๆ ที่อยู่กับครอบครัว เพื่อน เลี้ยงหมาอยู่บ้าน ทุกคนแฮปปี้ หรือออกไปเที่ยวกันในโลเคชั่นที่อยู่กันแบบอบอุ่น พร้อมหน้าพร้อมตา (ยิ้ม)”
เราได้เห็นชีวิต ความคิดและทัศนคติของนักแสดงหนุ่มที่หาจุดเปลี่ยนให้ตัวเองในช่วงวัยรุ่นที่เป็นแยกสำคัญแต่เขาก็มุ่งมั่นและแน่วแน่พอที่จะก้าวไปในเส้นทางที่แปลกใหม่ จนปัจจุบันภาพของจุง อาเชนที่ปรากฎตัวในลุคแฟชั่นกลายเป็นภาพคุ้นตาไปแล้ว
Part5: YSL And I
“จริงๆ ผมร่วมงานกับ YSL มาประมาณ 2 ปีแล้ว ด้วยความ Quiet Luxury ของแบรนด์ มันมีความสอดคล้องหลายอย่างในชีวิตประจำวันของผม ถึงวันไหนจะใส่เสื้อผ้า แอคเซสเซอร์รี หรือไม่ได้ใส่คนก็จะทักว่าเป็น Saint Laurent หรือเปล่า อะไรแบบนี้ เหมือนเราเป็นพาร์ทหนึ่งของ Saint-Laurent ไปแล้ว”
“หนุ่มแซงต์จะมีความเซ็กซี่ เท่ ดุดัน และมีความยูนิเซ็กส์ รู้สึกว่าเสื้อผ้าผู้หญิงของเขา ผู้ชายก็สามารถใส่ได้ อย่างคอลเล็คชั่นล่าสุดก็ถือเป็นคอลฯ ผู้หญิงที่หล่อมากๆ คอลฯ นี้แหละที่เราจะเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ (หัวเราะ)”
เสน่ห์ของความเป็นยูนิเซ็กส์กับ Quiet Luxury ส่งต่อมายังไอเท็มที่บ่งบอกตัวตนของจุงออกมาได้อย่างธรรมชาติ และกลมกลืน
“ผมชอบใส่เสื้อหนังมากๆ แล้วแซงต์ก็ทำแจ็คเก็ตออกมาใส่สบายมาก ซัพพอร์ตสรีระ ทำให้มันมีบางอย่างโดดเด่นขึ้นมา ที่ทำให้เราน่าสนใจและรู้สึกมั่นใจในตัวเอง หรืออีกชิ้นที่ชอบคือโอเวอร์ไซส์สูท ไหล่กว้าง ดูภูมิฐาน สง่า มีอำนาจ มีความ Bossy หน่อยๆ ส่วนไอเท็มที่ขาดไม่ได้ (จะเรียกว่ากันตายก็ได้) คือ รองเท้า ยิ่งเป็นบูทส้นแหลมปลายเท้าแหลม ยิ่งทำให้ทรงเท้าเราสวยมากขึ้น ให้สรุปสั้นๆ มันคือความกลมกลืน”
จุงเล่าถึงความประทับใจของเขาที่มีต่อแบรนด์ Saint Laurent ด้วยตาที่เป็นประกาย พร้อมกับย้ำกับเราว่า การได้ร่วมงานกับแบรนด์นี้คือความภูมิใจ และเป็นหมุดหมายแห่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาอย่างหนึ่ง
Part6: The Proudest Thing in Life
แม้ในภาพของความสำเร็จที่เราได้กล่าวไป สำหรับเขายังมีเวลาเก็บเกี่ยวกับประสบการณ์อีกมากมาย เราถามชายหนุ่มถึงสิ่งที่เขาภาคภูมิใจในช่วงเวลานี้ จุงนิ่งคิดซักพักหนึ่งก่อนตอบเราออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและรอยยิ้มอันแสนละมุม
“การซื้อบ้านในวัย 23 ปี ตอนแรกคิดไว้ว่าจะสัก 25 ปี แต่ทำงานไปมาแล้วก็ซื้อเลย ก็ดีใจ แล้วก็ได้บ้านที่ใหญ่กว่าคิดไว้เยอะมากด้วย ก็ได้ทำบ้านเอง ตกแต่งเอง รู้สึกว่ามีบ้านเป็นของตัวเองเร็วจัง ได้พาครอบครัวที่ต่างประเทศมาอยู่ด้วย แล้วก็ส่งน้องสาว 2 คน กับน้องชายเรียนด้วย เราได้เป็นเสาหลักให้แก่ครอบครัว ก็ถือเป็นความภูมิใจ และเป็นแรงผลักดันให้เราลุกขึ้นสู้”
ซึ่งเรื่องนี้เองเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมาก มากถึงขนาดอยากสลักไว้ในไดอารีชีวิต ให้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่เขาสามารถสร้างมันขึ้นมาด้วยมือของตนเองในวัยเพียงแค่ 23 ปีเท่านั้น
“ตอนนี้ด้วยความที่เป็นเสาหลักของบ้าน เวลาเหนื่อยหรือท้อก็จะไม่ค่อยบอกหรือแชร์กับใคร เพราะไม่อยากเป็นภาระทางอารมณ์ของใคร เราเป็นพี่ใหญ่สุด ถ้าพี่ท้อ น้องๆ จะคิดอย่างไร เราเลยต้องเป็นคนที่มีความเข้มแข็ง”
การพูดคุยระหว่างเราเดินมาถึงช่วงสุดท้าย เราอยากปิดท้ายการพูดคุยครั้งนี้ให้สวยงามด้วยคำถามซิกเนเจอร์ของ Esquire “สุภาพบุรุษในความคิดของคุณเป็นแบบไหน” เราสังเกตได้ทันทีว่าหน้าตาของจุงจากที่ยิ้มอย่างสบายใจ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูสงบนิ่ง และดูจริงจังขึ้นก่อนจะตอบคำถามนี้
“เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผมมากครับ” เขาย้ำให้เราเข้าใจในเบื้องต้น ก่อนตอบคำถามดังกล่าว
“เป็นคนดีปกติที่ให้เกียรติทุกคน รวมถึงตัวเองด้วย บนโลกนี้ถ้าอยู่ด้วยพื้นฐานของความให้เกียรติกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะเป็นโลกที่สวยงามมากๆ”
“และด้วยความที่ผมอยู่ใกล้ชิดกับแม่มาตลอด ผมเลยค่อนข้างมีความรู้สึกเจ็บปวดมากๆ เวลาได้รู้เรื่องที่ผู้หญิงโดนทำร้ายต่างๆ นานา คือบอกได้เลยว่าถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมพูดได้เลยว่ากล้า Stand For อยู่ข้างผู้หญิงเต็มตัว คือในสังคมก็ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่ผู้หญิงยังไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรม ยังมีการเบลมเหยื่อ ก็อยากให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหันมาดูแลเรื่องสวัสดิภาพและความปลอดภัยเพิ่มขึ้นอีก นี่คือบทบาทความเป็นสุภาพบุรุษที่ผมเลือกเป็นครับ”
เราจบการสนทนาระหว่างกันด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลาจากกันไปด้วยความสุข ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า การพูดคุยกับกับจุงได้ทำให้ผมเห็นมุมมองอะไรมากมายที่มีต่อตัวเขามากขึ้นกว่าการเป็นดารา ศิลปินนักร้อง นั่นก็คือความเป็นชายหนุ่มธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ ความคิด และจิตวิญญาณ และอีกสิ่งที่เห็นได้ชัดจากจากการพูดคุยครั้งนี้ก็คือแรงบันดาลใจ ไฟฝัน และความจริงจังในทุกขอบเขตของบทบาทที่จุงต้องเป็น ทำให้ผมยิ่งเชื่อว่าเส้นทางในอนาคตของเขายังมีความสำเร็จอีกมากมายที่รอให้ไขว่คว้า ก็ขออวยพรให้จุงทำมันให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ