เผยโฉมกันไปแล้วสำหรับ Ferrari F80 ไฮเปอร์คาร์ที่ได้เทคโนโลยี F1 มาแบบจัดหนักจัดเต็ม มาพร้อมเครื่อง V6 เทอร์โบคู่ ซึ่งเป็นการรับไม้ต่อจากรุ่น LaFerrari ปี 2013 ที่ใช้เครื่องยนต์ V12 แต่เจ้าตัว LaFerrari ปี 2013 รุ่นพี่ของมันคือรุ่นไหนกันล่ะ วันนี้เอสไควร์ ประเทศไทยพาทุกคนย้อนรอยบรรพบุรุษของไฮเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดจาก Ferrari กันครับ
F80

สุดยอดไฮเปอร์คาร์รุ่นล่าสุดจากม้าลำพองที่เปลี่ยนจากขุมพลัง v12 มาเป็น v6 เทอร์โบคู่ ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกับใน 296 GTB ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว โครงทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Pre-preg ที่ผ่านการเข้าตู้อบแรงดัน Autoclave เทคโนโลยีจากรถแข่ง F1 ให้กำลังสูงสุด 1,200 แรงม้า เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.15 วินาที, 0-200 ใน 5.75 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. จะถูกผลิตออกมาเพียง 799 คันเท่านั้น
LaFerrari (2013)


รู้จักกันในอีกชื่อว่า F70 หรือ F150 ไฮเปอร์คาร์ที่มาพร้อมกับสี ROSSO CORSA ซึ่งเป็นสีแดงที่ไม่ผสม METALLIC เครื่องยนต์เบนซิน V12 6.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 800 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จนให้กำลังสูงสุดทั้งหมด 963 แรงม้า ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงภายใน 3.0 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 349 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผลิตออกมาเพียง 499 คันเท่านั้น
Enzo (2002)


หนึ่งในสิ่งนักสะสมตามหากันให้ควัก ชุดกระจังหน้าหรือจมูกที่ได้แรงบันดาลใจจาก F1 เครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตร ที่มีกำลัง 660 แรงม้าที่ 7,500 รอบ/นาที และแรงบิด 657 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบ/นาที เร่งความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. ตกแต่งด้วยสี Rosso Scuderia ซึ่งเป็นสีที่เป็นตัวเลือกสำหรับรถยนต์ F1 ที่มีชื่อเสียงที่สุดของแบรนด์ ไฮเปอร์คาร์คันนี้ถูกผลิตออกมาเพียง 400 คันเท่านั้น
F50 (1995)


รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปีของ Ferrari มาพร้อมเครื่องยนต์ Formula 1 V12 ขนาด 4.7 ลิตร ซึ่งเป็นแบบ naturally aspirated (ไม่มีระบบอัดอากาศ) สามารถผลิตแรงม้าได้ถึง 520 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที สีตัวรถ Rosso Corsa ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 325 กม./ชม. สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียงประมาณ 3.7 วินาที มีเพียง 349 คันเท่านั้น
F40 (1987)


รถคันสุดท้ายที่ได้รับการอนุมัติจาก Enzo Ferrari เปิดตัวในปี 1987 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของ Ferrari มากับเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ (Twin-Turbocharged) สามารถผลิตแรงม้าได้ 478 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 324 กม./ชม. ซึ่งเป็นรถที่เร็วที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น และยังสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาประมาณ 4.1 วินาที
288 GTO (1984)


ได้รับการออกแบบมาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันกลุ่ม B (Group B) ของ FIA ซึ่งเน้นรถแข่งที่ต้องมีการผลิตรุ่นที่วิ่งบนถนนจริงได้เพื่อจำหน่ายให้กับสาธารณะ อย่างไรก็ตาม กลุ่ม B ถูกยกเลิกก่อนที่ 288 GTO จะได้ลงแข่ง ทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นรถสปอร์ตสำหรับการขับขี่บนถนนแทน ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร แบบ twin-turbocharged ซึ่งสามารถผลิตแรงม้าได้ 400 แรงม้า ที่ 7,000 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 305 กม./ชม. พร้อมกับอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 4.9 วินาที ผลิตเพียง 272 คันเท่านั้น
Photo: Ferrari