STORY BY BOONAKE A.
PHOTOGRAPHER PONPISUT PEEJAREON
เอาเข้าจริงผมรู้จัก เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ ในฐานะนักดนตรี นักแสดง เพียงแต่ในช่วงเวลาหนึ่งของเมื่อปีที่แล้ว ผมได้เจอเขาที่งานประกวดพระงานหนึ่งที่ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ผมมองเขาอยู่ไกลๆ พลางคิดว่า “เออ…เว้ย เป้ อารักษ์ มาเล่นพระว่ะ” พร้อมกับรับรู้ผ่านข่าวว่าตอนนี้เขาได้สร้างพระขุนแผนรุ่นลงนวมบอยส์ เออ…คงจะอินจริงกับเรื่องพระเครื่อง แต่อะไรทำให้เขาสนใจความเชื่อนี้?
จวบจนวันนี้ที่ผมต้องมาทำ Esquire ฉบับนี้ ที่มีธีมเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ซึ่งว่ากันถึงเรื่องความเชื่อในสังคมไทย ถ้าจะมีความเชื่อใดที่แข็งแรงลงหลักปักฐานในความคิดและจิตใจคนมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องพระเครื่องนี่แหละ แล้วเมื่อมีโจทย์ต้องหาคนน่าสนใจที่ข้องเกี่ยวกับพระเครื่อง (ไม่นับเซียนพระ) ชื่อของ “เป้-อารักษ์” ผุดขึ้นมาในสมองผมทันที นำไปสู่การนัดสัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าว
แล้วเมื่อวันสัมภาษณ์มาถึง การตอบในชุดคำถามดังกล่าวของเป้ ทำเอาผมเซอร์ไพรส์อยู่ไม่น้อย (เชิญอ่านในบทความ) แล้วอุตส่าห์นัดสัมภาษณ์เป้ได้ทั้งที จะมานั่งถามแค่เรื่องพระเครื่องมันก็ใช่ที่ คำถามเรื่องงาน เรื่องเพลง เรื่องงานแสดงต้องมีอยู่แล้วเพื่อความสมบูรณ์แบบ ซึ่งเราคาดหวังได้ทันทีว่าคำตอบจากเขาต้องโคตรร็อค โคตรมัน แน่นอน
The New Role as a Director
เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยคำถามพื้นฐานง่ายๆ ว่าชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไร มีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาให้เป้ได้ทำบ้างนอกเหนือจากการเป็นศิลปินและนักแสดง เหมือนเป็นคำถามทั่วไป แต่เป้เองก็พร้อมตอบด้วยรอยยิ้มเบาๆ “ผมก็กำลังทำงานเบื้องหลังอยู่ครับ” คำตอบของเขาเล่นเอาผมตกใจไม่น้อย
“หลายคนก็เตือนว่าเป็นนักแสดงดีแล้ว พอมาทำงานเบื้องหลังตอนนี้ความยุ่งระดับบ้าคลั่งเลยครับ” ก่อนหัวเราะออกมาดังๆ เป้อธิบายต่อให้ฟังว่างานเบื้องหลังที่ว่านั้นคือการกำกับภาพยนตร์ที่ตัวเขาเป็นผู้เขียนบทเองและกำกับเองเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายเขามากในวันนี้ อีกทั้งมีรายละเอียดมากมายที่เขาต้องดูแลด้วยตัวเองเกือบทุกขั้นตอน
“แล้วไปเอาสกิลการกำกับมาจากไหน” เราถามเขา เป้ตอบเราทันทีว่าทักษะด้านนี้เขาเรียนรู้มาตลอดชีวิตของการเป็นนักแสดง รวมถึงคำถามที่ว่าเขาเขียนบทเองได้อย่างไร เรื่องนี้เป้ตอบด้วยการเปรียบเทียบให้เห็นว่าตลอดระยะเวลาการเป็นนักแสดง เขาอ่านบทเป็นร้อยๆ ก๊อปปี้ และด้วยความสัตย์จริงบททั้งหมดนั้น เขาอ่านมันเกือบทุกตัวอักษร “ไม่ได้ขิงนะครับ แต่ผมอ่านมันจริงๆ ถ้าจะเขียนบทไม่ได้นี่ก็แปลกแล้ว”
เราถามเขาถึงโปรเจกต์ภาพยนตร์ที่เป้กำกับว่ามันเกี่ยวกับเรื่องอะไร “มันเกี่ยวกับเรื่องวงการพระเครื่อง” ทำให้เขาต้องลงไปหาข้อมูลในเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้นจนทำให้หลายคนนึกไปไกลถึงขั้นที่ว่าวันนี้เป้เล่นพระเครื่อง หรือมูเตลูเต็มที่ไปแล้ว เมื่อการพูดคุยมาถึงจุดนี้มันทำ ให้ผมบอกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นดีเลย เรามาคุยเรื่องพระเครื่องกันดีกว่า”
The Beginning of Longnuamboyz x ขุนแผนวัดป่าเลไลยก์
เป้คลายข้อสงสัยให้เราแล้วว่า การที่มีภาพของการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องหรือการที่เห็นเขาไปปรากฏตัวตามงานประกวดพระเครื่องหลายแห่งนั้น มันมาจากเหตุผลใดดังที่เล่าไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันเราก็เห็นเขามีส่วนร่วมในการสร้างพระขุนแผนรุ่น ‘ลงนวมบอยส์’ อยู่ในข่าวเช่นกัน ในประเด็นของการสร้างพระเครื่องนี่แหละที่น่าสนใจเราเลยขอให้เขาเล่าที่มาที่ไปของการเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างพระรุ่นที่ว่านี้
“มันเริ่มต้นขึ้นตอนที่ผมเล่นภาพยนตร์เรื่อง “ขุนพันธ์ 2” ผมต้องเล่นเป็นเสือใบ แล้วพระที่เสือใบใส่คือพระขุนแผน ด้วยความอยากลงลึกในบทนี้ ผมเลยไปไหว้พระขุนแผนที่วัดป่าเลไลยก์ จังหวัดสุพรรณบุรี แล้วหลานเสือใบก็เอา “พระขุนแผนรุ่นเสือใบ” ที่จัดสร้างอยู่มาให้ผม นั่นคือพระเครื่องที่ผมรู้สึกว่ามันมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะว่าเราก็ตั้งใจเล่นเป็นเสือใบมากๆ ก็รู้สึกว่าพระองค์นี้คือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเรา” นั่นเป็นจุดนับหนึ่งที่เขาได้รู้จักกับประสบการณ์ของพระเครื่องแบบจริงจัง
“แล้วบังเอิญผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ “ลงนวมบอยส์” ก็มาไหว้ด้วยกัน แล้วผมก็เอาองค์นึงให้เขา หลังจากที่ได้ไป ชีวิตเขาก็ดีขึ้น เหมือนกับว่าเขาเชื่อเรื่องพุทธคุณแบบนั้น เขาก็ชวนผมให้มาสร้างพระด้วยกัน ผมก็ปฏิเสธเขาอยู่ 6 เดือน แบบไม่เอาเลย จะบ้าเหรอ ไม่เอาพุทธพาณิชย์อะไรแบบนี้ แต่เขาบอกผมว่า พุทธพาณิชย์เขาก็ไม่เอา ไม่ได้เอาเงินจากพระ แต่เราขายเสื้อเอาเงิน คือเหมือนกับว่า เราซื้อเสื้อแถมพระ แต่พระที่แถมเราไปปลุกเสกจริงจัง ผมก็เห็นว่าไอเดียมันมันดีว่ะ ก็เลยเอาด้วยวะ”
จนกลายออกมาเป็นเสื้อรุ่น ‘Longnuamboyz x ขุนแผนวัดป่าเลไลยก์’ โดยเป้และเพื่อนของเขาอ้างอิงการสร้างคอนเซ็ปต์ด้านแฟชั่นมาจากแบรนด์ Supreme ที่ทำเสื้อรุ่นหลวงพ่อคูณออกมาจำหน่าย ที่ได้รับเสียงชื่นชมถึงการนำไอคอนแห่งความศักดิ์สิทธ์อย่างหลวงพ่อคูณมาหลอมรวมเสื้อผ้าแนวสตรีทได้อย่างสะใจ
“พระขุนแผนรุ่นนี้เราไปร่วมสร้างกันที่วัดป่าเลไลยก์ มีเกจิอาจารย์จากแทบจะทั่วสุพรรณฯ มาปลุกเสกที่ในวิหารหลวงพ่อโต ซึ่งส่วนใหญ่ขายที่วัดเป็นอีกสีนึง ส่วนของลงนวมบอยส์ก็เก็บมาส่วนหนึ่ง ใครอยากซื้อพระก็ได้นะ แต่ว่าพระน่ะขายแพง แต่ว่าถ้าซื้อเสื้อเราแถมพระให้อะไรแบบนี้”
THE REAL VALUE OF AMULETS
แม้เป้จะบอกว่าการที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องพระเครื่องก็เพราะแค่เรื่องงานส่วนตัวเท่านั้น แต่การเอาตัวเอาใจลงไปเป็นส่วนหนึ่ง รวมถึงการพาตัวเองไปรู้จักเซียนพระตัวท๊อปมากหน้าหลายตา มีซักแวบไหมที่เขาจะเริ่มอินไปกับมันบ้างไหม “ยอมรับว่ามันมีอะไรที่เราอธิบายลำบาก” เป้กล่าวกับเราแบบนี้
“แต่ว่าผมก็ไม่เอามันมาเป็นสรณะจริงจังนะ แต่สิ่งที่ชัวร์เลยคือพระเครื่องสำหรับผมคือเครื่องเตือนใจ” เป้เล่าให้ฟังว่าในทุกเช้าก่อนจะนำพระมาใส่ สิ่งที่เขาชอบทำก็คือการเล่นสนุกกับการท่องบทสวดบูชาพระเครื่อง ยกตัวอย่างเช่นสมมติว่าใส่พระขุนแผน ก็จะสวดบทสวดพระขุนแผน ถ้าใส่พระคุณแม่บุญเรือน ก็จะสวดบทคุณแม่บุญเรือน ใส่เสือหลวงพ่อวงษ์ ก็จะสวดเสือหลวงพ่อวงษ์ ใส่จระเข้หลวงพ่อสนิท ก็จะสวดหลวงพ่อสนิท รวมถึงอีกหลายองค์ที่เขามีไว้ในครอบครอง ก็จะทำแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“การสวดสำหรับผมไม่ใช่เพื่อขอพรหรืออะไร มันเป็นการดลจิตในช่วงเวลาแวบนึง บทสวดที่ดีที่สุด คือบทสวดที่เราสามารถรวมจิตแล้วสามารถนึกถึงแต่บทสวดได้ในช่วงเวลาแวบนึง ก็เหมือนการนั่งสมาธิอย่างรวดเร็วในช่วงเวลา 1 วัน เหมือนเป็น Short Cut ของการรวมจิตครับ ก่อนที่เราจะออกไปทำอะไรก็ตาม แล้วพอมีพระอยู่ที่คอ หรือพอมีรอยสักอยู่ที่ตัว เราก็ไม่อยากจะทำอะไรที่ไม่ดี”
นอกจากการใช้พระเครื่องเป็นทางลัดในการรวบรวมสมาธิแล้ว อีกหนึ่งฟังก์ชั่นของพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังที่เป้มองว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีชั้นเชิง นอกเหนือจากการใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ หรือป้องกันสิ่งชั่วร้ายแบบที่ใครหลายคนเชื่อ ก็คือการนำพระเครื่องมาผนวกเข้ากับการแต่งตัวออกมาเป็นแฟชั่นในสไตล์แบบเขา
“สิ่งที่ผมชอบมากๆ เกี่ยวกับพระเครื่องเลย เรื่องปาฎิหารย์นี่ไว้ทีหลัง มูลค่าเพิ่มเนี่ยก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเก็บ แต่สิ่งที่สำคัญของผมคือมันเท่ คือแฟชั่นแบบไทยแลนด์โอนลี่ในขณะที่มันคือมรดกของบ้านเรา เราหายใจกับมัน เราอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเราจะไม่ชอบมัน ผมว่ามาเช่าพระแล้วใส่สร้อยทองกวนๆ มันดูเท่ดีผมก็มีเต็มคอเหมือนกัน มันก็มันส์ดีครับ ไม่มีประเทศไหนเหมือน คนอื่นเขายังจะต้องมาเอาของเราเลย แล้วทำไมเราจะไม่แปลงมาเป็นแฟชั่นล่ะ”
BEING AN ACTOR & MUSICIAN
ถ้ามีโอกาสได้สนทนาแล้วไม่คุยเรื่องงานแสดงและงานเพลง มันก็ดูยังไม่อิ่ม เมื่อเป็นเช่นนั้น เราเลยเปิดประเด็นทันทีถึงความเชื่อของเป้ที่เกี่ยวกับงานแสดงและงานเพลงของเขาในชั่วขณะนี้ เริ่มต้นในส่วนของงานแสดงที่เขากำลังโฟกัสกับมันอยู่ เป้ใช้คำว่าการเป็นนักแสดงที่ดีของเขาในวันนี้ ต้องใส่เต็มข้อกับทุกบทบาท
“ผมก็จะใส่ไปเต็มข้อทั้ง Research หรือ ให้เต็มที่เลย ให้รู้เรื่องที่ผมจะแสดงอย่างมากที่สุดเลย ในขณะเดียวกันบางเรื่องที่ไม่ต้องใส่ เราก็ไม่ต้องใส่ครับ เราก็แค่ท่องบทให้ได้ เล่นให้เข้าใจคาแรกเตอร์แล้วก็ไปทำงาน ก็คือจุดสำคัญของมัน แล้วก็พยายามรักษาความพอดีในการทำงานให้ได้ดีที่สุดไม่ให้น้อยหรือมากไป”
จุดแห่งความพอดีที่ว่าเขาอธิบายให้เห็นภาพในสิ่งที่เรียกว่าน้อยไปก็คือการไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองทำอย่างนอนไม่พอ หรือไม่ท่องบทมา ในส่วนที่มากไปก็คือตั้งใจมากเกินแล้วพยายามไปควบคุมทุกอย่างในกอง พยายามไปข้องเกี่ยวกับทุกกระบวนการมากเกินไป มันต้องอยู่ตรงกลางให้พอดี
“ถ้าเป็นส่วนของการเป็นศิลปิน ผมก็พยายามทำเพลงที่ผมชอบที่สุด ฟังแล้วเพราะที่สุด ไปเล่นคอนเสิร์ตให้หลุดน้อยที่สุด ร้องให้คล่องที่สุด คือถ้าอยู่มือมันควบคุมง่าย เพราะว่าผมไม่ได้ทำเพลงตามโจทย์หรืออะไรเลย หรือว่ามีความคาดหวังว่าฉันจะต้องปล่อยเพลงนี้แล้วดัง อะไรอย่างนี้ ตอนนี้ปล่อยเพลงที่ผมชอบมากๆ ไปครับ 2 เพลงชื่อ ‘อยากเป็นเสี่ยเลี้ยงต้องทำไง’ กับ ‘แฟนใหม่เธอใช้ไม่ได้’ ก็หวังว่าทุกคนจะชอบมัน”
ในส่วนของงานแสดงและงานเพลงยังมีสิ่งไหนที่คุณยังอยากทำมันอยู่บ้างไหม เราถามเขา “ผมไม่ได้แบบโหยหาอะไรแบบนั้นแล้วนะถ้าในเรื่องของการแสดง” คำตอบนี้สร้างความสงสัยให้เรามาก จนเราคิดว่าเขาเบื่อกับงานแสดงแล้วหรือ เขารีบแก้ความเข้าใจผิดผมทันที
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ คือผมโชคดีมากครับ ที่ผมได้รับบทที่มันสะใจมาหลายๆ บทติดกัน มันก็เลยยังไม่ได้โหยหาอะไร ลองคิดดูนะครับได้เล่นเป็นเด็กช่าง เล่นเป็นเสือใบ เล่นเป็นตำรวจเกย์ในดอยบอย ล่าสุดได้เล่นเป็นคนคุก บทเหล่านี้มันก็มีความสุดในแบบของมัน จริงๆ มันก็มีบทอื่นอีกแหละ แต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับผู้กำกับว่าเขาอยากให้เราเล่นมั้ยมากกว่า”
“ในส่วนของงานเพลงอย่างล่าสุด 2 แทรคที่ปล่อยไป มันก็คือสิ่งใหม่ที่เราอยากทำคือเล่าเพลงป๊อบ เพลงรักนี่แหละ แต่ว่าไม่เหมือนคนอื่น ปัจจุบันนี้นี่ชุดที่ 7 แล้วครับ มันก็เลยเปลี่ยนไปเยอะแต่ว่าไอ้ตอนชุดแรกเนี่ยเราก็อยากจะเล่าแล้วเปลี่ยนแปลงโลกด้วยมั้ง ตอนนั้นเรา 25 แต่ตอนนี้เราเลิกคิดแบบนั้นแล้ว เราแค่เอาเพลงที่มันเพราะ ฟังดี แล้วก็ไม่เหมือนคนอื่นในภาษาและวาจาก็เท่านั้น”
ด้วยหลักไมล์การทำงานในวงการอย่างยาวนาน มันมีสิ่งหนึ่งที่เราแอบสงสัยว่าทำ งานมาเนิ่นนานขนาดนี้ เคยมีซักแวบไหมที่เป้คิดว่าอิ่มตัวจากทั้งสองสิ่ง
“ดนตรียังไม่อิ่มครับ ยังมีอัลบั้ม ยังมีเพลงอยู่ ยังพร้อมครับ ส่วนเรื่องการแสดงไม่อิ่มครับ ผมชอบการแสดงมาก แต่ผมไม่รู้ว่าจะมีงานไปถึงเมื่อไหร่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมควบคุมได้ มันไม่ใช่ความเชื่อของผมที่ผมจะทำได้ ผมก็ได้แต่หวังว่าผมจะมีงานต่อไปเรื่อยๆ เพราะว่าอาชีพนี้ผมชอบ เรียกว่ารักมันเลยดีกว่า”
ในส่วนของงานแสดงอันเป็นงานที่เขารัก ความเชื่อของเขาที่มีต่อวงการบันเทิงและการแสดงมีรูปร่างหน้าอย่างไร เราถามต่อเนื่องคำตอบของเป้ทำเอาเราตกใจไม่น้อย
“เชื่ออะไรไม่ได้เลยครับ วงการนี้มันขึ้นอยู่กับการชอบของคนอื่น แล้วเรากำลังเอาตัวเองไปอยู่กับความชอบของคน ต้องขึ้นอยู่กับคนที่ชื่นชมเรา ต้องขึ้นอยู่กับนายทุน ต้องขึ้นอยู่กับคนที่จะจ้างเราไปทำมันควบคุมอะไรไม่ได้เลย งั้นเอาเป็นว่าผมเชื่อในตัวเองดีกว่า ผมเป็นคนชอบทำ แม้ทำไปแล้วไม่สำเร็จผมก็ทำอยู่ดีอะครับ เพราะว่าเราทำได้ เรามีมันสมอง มีพละกำลัง ก็ทำมันไปให้สุดทาง” นับเป็นคำตอบที่โคตรร็อค
“ผมโชคดีครับที่ยังมีอะไรให้ทำ ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะผมทำมานานแล้ว แล้วก็โชคดีมากที่ยังมีอะไรให้ทำแม้มันไม่ใช่ความเชื่อของผมฝ่ายเดียวผมจะทำได้ ผมก็ได้แต่หวังว่าผมจะมีงานต่อไปเรื่อยๆเพราะว่าอาชีพนี้ผมชอบ เรียกว่ารักมันเลยดีกว่า”
ในประโยคที่พูดถึงความรักในงานแสดง ผมรับรู้ได้ถึงความมุ่งมั่นและความสุขอย่างเต็มเปี่ยมผ่านนํ้าเสียงของเขา ฟังแล้วมันทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งของ บ๊อบ ดีแลน ที่เป้เปรียบศิลปินท่านนี้เป็นดั่งพระเจ้าของเขา
“ผู้ชายคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จได้ ถ้าเขาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เข้านอนในตอนกลางคืน และในช่วงระหว่างนั้น เขาได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ”
เอาเข้าจริงเรื่องความเชื่อที่เราได้สนทนากับเป้ อาจมีจุดเริ่มต้นที่แสนเรียบง่ายเหมือนกับสิ่งที่ บ๊อบ ดีแลนกล่าวไว้ก็ได้ ซึ่งความเชื่อของเขานั่นเองเป็นแรงผลักดันให้เขาเป็น เป้-อารักษ์ ได้เช่นทุกวันนี้