back to top
HomeCultureครบรอบ 48 ปี 6...

ครบรอบ 48 ปี 6 ตุลา หน้าหนังสือสีเทาที่ผู้อ่านไม่มีวันลืมลง

แล้วมันก็หวนกลับมาอีกครั้ง วันที่หน้าประวัติศาสตร์ถูกชโลมไปด้วยเลือดของคนไทยที่ถูกกระทำจากคนไทยด้วยกันเอง วันที่ 6 ตุลาคม 2567 ถือเป็นวันครบรอบ 48 ปีของโศกนาฎกรรมเหตุการณ์ 6 ตุลา หรือ ‘เหตุการณ์สังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์’ ที่เป็นประวัติศาสตร์อันดำมืดของประเทศไทยที่ไม่มีใครลืมได้ลง ไม่มีใครที่ได้รับการลงโทษจากโศกนาฎกรรมครั้งเลยนี้ เหตุการณ์ทั้งหมดมีความเป็นมายังไง วันนี้เอสไควร์ ประเทศไทยจะพาทุกคนย้อนกลับไปดูชนวนของเหตุการณ์ทั้งหมดกันครับ 

ก่อนอื่นเลยต้องขอย้อนกลับไปในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 “วันมหาวิปโยค” ที่เหล่านักศึกษาออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลทหารของจอมพลถนอม กิตติขจรที่ยึดอำนาจมา และในวันนั้นเองก็มีการใช้ความรุนแรงและอาวุธปืนในการปราบปราม มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน ทำให้รัฐบาลสูญเสียความชอบธรรมทั้งหมดไป 

จอมพลถนอม กิตติขจร ต้องยอมลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกจากประเทศ พร้อมกับจอมพล ประภาส จารุเสถียร และ พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร และมีการแต่งตั้ง นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อคลี่คลายปัญหา ทำให้เหตุการณ์นี้จะเรียกว่า “ชัยชนะของประชาชน” ก็ย่อมได้ เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลที่เข้ามาหลังจากนั้นจะมีปัญหาอื่น ๆ ตามมา แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ในกรอบประชาธิปไตย

แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับเหตุการณ์ 6 ตุลา ทั้งที่เกิดขึ้นห่างกันถึง 3 ปี ที่มันเกี่ยวข้องกันเพราะว่าชนวนของโศกนาฎกรรมเหตุการณ์ 6 ตุลาคือการกลับมาเหยียบแผ่นดินไทยอีกครั้งของสองจอมพลอย่าง จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร โดยก่อนหน้านี้เองก็เริ่มมีการประท้วงรัฐบาลเกิดขึ้นอีกครั้ง และหนักข้อขึ้นเมื่อได้ยินข่าวว่าทั้งสองจอมพลกำลังจะกลับมา

โดยวันที่ 16 สิงหาคม 2519 จอมพลประภาส กลับมาไทยเพื่อรักษาดวงตา และจอมพลถนอมก็กลับตามมาในวันที่ 19 กันยายน 2519 โดยการบวชเณร แล้วมาบวชพระที่วัดบวรนิเวศฯ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลเองก็มีทั้งคนที่ต่อต้านและเห็นชอบ ส่วนทางนักศึกษาก็ยิ่งออกมาประท้วงมากขึ้น

เหตุการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อสื่อต่าง ๆ เริ่มมีการกล่าวหาว่ากลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนคอมมิวนิสต์ ส่วนผู้มีอำนาจในประเทศก็ตกลงกันไม่ได้เสียทีว่าจะเอายังไง ยิ่งทำให้กลุ่มนักศึกษาไม่พอใจมากยิ่งขึ้น จนในวันที่ 24 กันยายน 2519 พบศพ “วิชัย เกษศรีพงษา” และ “ชุมพร ทุมไมย” สองพนักงานการไฟฟ้านครปฐม และสมาชิกแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติถูกซ้อมตาย ศพถูกนำไปแขวนไว้ที่ประตูหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เป็นที่มาของเรื่อง “ประตูแดง”

ทำให้ศนท. หรือศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มต่อต้านนักศึกษา จึงเรียกร้องให้รัฐบาลจับกุมคนร้ายมาลงโทษให้ได้ แต่ถึงแม้ภายหลังจะจับได้จริง ๆ แต่ก็ถูกปล่อยตัวไปแบบลับ ๆ 

ต่อมากระแสต่อต้านพระถนอมรุนแรงมากขึ้น บวกกับเหตุการณ์ฆาตกรรมที่นครปฐม กลุ่มนักศึกษาจึงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการทุกอย่างให้ชัดเจนโดยเร็ว ขณะเดียวกันกระแสการเคลื่อนไหวของกลุ่มฝ่ายขวาที่ต่อต้านรุนแรงขึ้น และเริ่มมองนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ในวันที่ 4 ตุลาคม 2519 ก่อนเหตุการณ์ 2 วัน มีการรวมตัวกันที่สนามหลวง และลานโพธิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการแสดงโดยชุมนุมนาฏศิลป์และการละครของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่จำลองเหตุการณ์ฆาตกรรมที่นครปฐม เพื่อเสียดสีการทำงานของรัฐ ตำรวจ และรำลึกถึงผู้เสียชีวิต และด้วยการแสดงชุดนี้เองที่ทำให้เส้นด้ายในใจของฝ่ายขวาจัดขาดสะบั้นลง

วันต่อมาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้นำเสนอข่าวภาพการแสดงแขวนคอที่ลานโพธิ์ เมื่อได้เห็นภาพที่เผยแพร่ออกไป หนังสือพิมพ์อีกฉบับก็ประโคมข่าวปลุกระดมว่าการแสดงจัดขึ้นเพื่อหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขององค์รัชทายาท เพราะหน้าของนักแสดงที่แสดงการถูกแขวนคอวันนั้นคล้ายกับองค์รัชทายาท และในเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม 2519 เจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มฝ่ายขวาจัดได้เดินทางมาปิดล้อมธรรมศาสตร์และเปิดฉากระดมยิง ทำให้นักศึกษาที่มาชุมนุมกันต่างก็หนีตายไปคนทิศคนละทาง

เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธสงครามไล่ทำร้ายนักศึกษา ปล้นทรัพย์ ข่มขืนนักศึกษาหญิง หรือแม้แต่นำศพของผู้เสียชีวิตมาเผา ลากไปกับพื้นที่สนามฟุตบอล และจับกุมนักศึกษาเป็นจำนวนมาก ณ บริเวณสนามฟุตบอล และสนามหลวง เป็นที่มาของภาพชายคนหนึ่งกำลังเอาเก้าอี้ฟาดศพของชายอีกคนโดยที่คนที่มายืนล้อมนั้นมีสีหน้ายิ้มแย้ม มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่นวัย วัยทำงาน หรือแม้แต่เด็ก

ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ได้รับการชันสูครพลิกศพจากทางการระบุว่าเสียชีวิต 39 ราย บาดเจ็บ 145 ราย และสูญหายอีกหลายราย ขณะที่รายงานอย่างไม่เป็นทางการจากมูลนิธิร่วมกตัญญูคาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 350 ราย และหลังจากที่ผ่านมาเกือยจะ 50 ปีแล้ว ผู้ที่จากไปก็ยังคงไม่ได้รับความเป็นธรรม และผู้กระทำผิดก็ยังคงไม่ถูกลงโทษ

ประเทศไทยได้รับบทเรียนที่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของคนในชาติ ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสลดใจนี้คือ “สื่อ” ที่ปลุกระดมความเกลียดชังและสร้างเหตุผลอันชอบธรรมในการสังหารผู้อื่นขึ้นมา พลังอำนาจของสื่อมีผลต่อจิตใจคนอย่างมาก สามารถชักจูงใครให้สามารถออกไปทำอะไรทั้งที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผลได้ในแบบที่ไม่มีใครมาตั้งคำถามกับสิ่งที่ถูกนำเสนอในวันนั้นเลย

ดังนั้น สิ่งที่สื่อควรจะปฎิบัติ ไม่ว่าจะเป็นสื่อเล็กหรือสื่อใหญ่ คือการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา รอบด้าน และเป็นกลาง ควบคู่กับการส่งเสริมให้ผู้เสพสื่อมีวิจารณญาณในการรับข่าวสาร เพราะว่าเพียงเสียงกระซิบของสื่อระดับประเทศก็อาจเป็นชนวนให้เกิดเหตุที่น่าสลดใจอีกครั้งก็เป็นได้

สำหรับนักวิชาการหลาย ๆ คนก็ยังคงพูดถึงบทเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ซึ่งแน่นอนว่าการถึงเหตุการณ์นี้ซ้ำ ๆ มันทำให้เราหวนนึกถึงโศกนาฎกรรมที่แสนโหดร้ายนี้ทุกครั้ง แต่เราจะต้องคิดว่าเราจะเดินหน้าต่อไปได้ยังไงโดยที่ไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก

พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.จากพรรคประชาชน  “ทุกประเทศมี ‘ประวัติศาสตร์ด้านมืด’ ที่ไม่น่าจดจำ แต่ว่าแต่ละประเทศเลือกจัดการกับมันแตกต่างกันหากไม่สอนประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้ สังคมเราอาจกลายเป็นสังคมที่คุ้นชินกับการหลีกหนีความจริง และทำให้ความอยุติธรรมในอดีตไม่ได้ถูกสะสาง แต่ถึงอย่างนั้น เป็นเรื่องน่าดีใจที่ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่มีทางเลือกในการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาเหตุการณ์ 6 ตุลาจากนอกหลักสูตร และเชื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปีที่แล้ว กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน”

รศ.ดร.โคทม อารียา นักวิชาการด้านสินติวิธีและสิทธิมนุษยชน “ นักวิชาการมีหน้าที่ต้องผลักดันให้เหตุการณ์ 6 ตุลา ถูกพูดถึงในวงวิชาการและในสังคมวงกว้าง แต่สิ่งสำคัญที่จะทำให้เรื่องนี้ก้าวไกลไปมากกว่าวงวิชาการ คือ ผู้ที่กระทำความรุนแรงและผู้ถูกกระทำต้องออกมาชำระประวัติศาสตร์ร่วมกัน สิ่งใดขอโทษได้ก็ต้องขอโทษ สิ่งใดให้อภัยได้ก็ต้องให้อภัย หรือหากใครต้องการจะบันทึก เล่าถึงเหตุการณ์ ก็ต้องเปิดพื้นที่ให้บุคคลเหล่านั้น แต่ทุกวันนี้ ฝ่ายหนึ่งพยายามจะพูด แต่กลับถูกปิดกั้น หรือไม่ก็ถูกปรับเปลี่ยนเรื่องราวให้เป็นไปอีกแบบ เหมือนประเทศไทยมีบาดแผลมา 45 ปีแต่กลับพยายามจะปิดแผลนั้น ไม่ได้รักษาให้แผลหายแต่อย่างใด”

ผศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผอ.สถาบันเอชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ “การบรรจุเหตุการณ์ 6 ตุลาเข้าไปในแบบเรียนที่เป็นทางการของกระทรวงศึกษาธิการน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการชำระประวัติศาสตร์ เพราะถึงแม้ความรุนแรงในเหตุการณ์ 6 ตุลาจะถูกพูดถึงและมีพื้นที่ในวงวิชาการและวงการสื่อสิ่งพิมพ์นอกตำราเรียน แต่ในแบบเรียนที่เป็นทางการนั้นกลับไม่มีการพูดถึงเหตุการณ์นี้ ส่วนการนำเสนอควรนำเสนอเหตุผลและแนวคิดของทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การป้องกันไม่ให้โศกนาฏกรรมทางการเมืองลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก”

48 ปีผ่านไป ในโลกที่เราอยู่ก็เปลี่ยนผ่านอะไรไปมากมาย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ทั้งสื่อและความรู้สึกนึกคิดด้านวิจารณญาณของผู้คนจะถอยหลังกลับไปเพื่อให้โศกนาฏกรรมเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง เราหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายในหน้าประวัติศาสตร์ของเรา

Photo: Getty Images

- COVER ART -

https://esquire.co.th/2025/05/15/what-is-your-next-big-thing-interview/

Most Popular

More to See