สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านอาหารที่สามารถดื่มด่ำได้ทั้งกับอาหารเเละทำเลได้ตลอดทั้งวันอย่างไม่น่าเบื่อ วันนี้เราพามารู้จักกับ 3 ร้านสุดสร้างสรรค์ ย่านสาธรของเชฟดีมี่ (Dimitrios Moudios) ผู้อยู่เบื้องหลังครัวของร้านอาหารชื่อดังอย่าง “หลานยายนุสรา” (Lahnyai Nusara) ของเซฟต้น ธิติฏฐ์ นั่นเอง
- Gaiwan of Tea
(เปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์เวลา 12:00 น.) ณ ชั้น 1 ของร้าน BK SALON ในย่านสาธุประดิษฐ์ หลังจากที่ได้พูดคุยกับเซฟเเค่เพียงช่วงสั้นๆ ก็รู้สึกถึง passion ในเรื่องของชาที่หลั่งไหลออกมาอย่างท้วมท้น เพราะนอกจากความเข้าใจในวัตถุดิบเเล้วเซฟยังใส่ความสร้างสรรค์ลงไปเพิ่มในทุกๆขั้นตอนที่ทำอีกด้วย รับรองได้เลยว่าสำหรับใครที่กำลังมองหาประสบการณ์ในการดื่มชาที่แปลกใหม่จะต้องได้รับความประทับใจกลับมาอย่างเเน่นอน
- Mitsos Bangkok
(เปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์เวลา 17:30 น.) หรือเเนะนำให้โทรเข้าไปสอบถามเเละจองโต๊ะกับทางร้านไว้ก่อนจะเเน่นอนที่สุด ร้านตั้งอยู่บริเวณ 722/3 ซอยสวนพลู 9 สาทร กรุงเทพฯ อีกหนึ่งร้านน้องใหม่ป้ายแดงที่เซฟดีมี่ขุนเเรงทั้งหมดมาทำที่เพิ่งเปิดทำการได้ประมาณเพียงเเค่ 2 เดือนกว่าๆ หลังจากที่ทำ ōre มาได้สักระยะหนึ่ง เเต่อัดเเน่นไปด้วยคุณภาพเเละรสชาติ โดยกลิ่นอายของอาหารส่วนใหญ่จะออกไปทางเมดิเตอร์เรเนียน ผสมผสานกับความเป็นยุโรป Main Course เลือกชูเป็นทั้ง Seafood เเละ Beef ให้เลือกสรรค์ ภายในร้านตกเเต่งให้ดูรู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ เหมาะกับการมาทานอาหารเเละพักผ่อนใจในวันหยุดไปพร้อมๆกัน เปิดมาด้วยของกินเล่นง่ายๆอย่าง (Potato Chips with Ham & Black Truffles) ที่ทั้งความกรอบเเละรสชาตินั้นถือว่าทำออกมาได้ดี นั่งทานเพลินๆคู่กับไวน์หรือแชมเปญก็สนุกไปอีกแบบ ต่อมาที่เรารู้สึกชื่นชอบเป็นพิเศษคือตัวข้าวผัดสเปน (Squid Ink Fried Rice With Romesco & Octopus) ที่ทั้งความหอมตลบอบอวนฟุ้งอยู่ในทุกคำที่ตักเข้าปากเเละความนุ่มที่ไม่เหนียวจนเกินไปของเนื้อปลาหมึก จานสุดท้ายที่จะขอเอ่ยถึงนั้นคงจะเป็น (Cod Roe Emulsion, Flatbread & Sardines) ที่ทั้งดิป ขนมปังที่เป็นแป้งโรตีบางกรอบ เเละตัวปลาซาดีนชุปแป้งทอดนั้นทำให้เรารู้สึกถึงความเป็นเมดิเตอร์เรเนียนง่ายๆสบายๆที่ผ่านการฟิวส์ชั้นกับรสชาติไทยๆให้ไม่เค็มโดดจนเกินไป เรียกได้ว่าหนึ่งจานอาจจะไม่คงอาจจะต้องขอดับเบิ้ลแน่นอน
- ōre Bangkok
(เปิดทำการทุกวันจันทร์-ศุกร์เวลา 19:00 น.) Fine Dining 32 courses ที่ปิดจบค่ำคืนได้อย่างสวยงาม ณ บริเวณชั้นสองของร้าน BK SALON อีกหนึ่งร้านที่เเนะนำเลยว่าหากคุณได้ลองไปทานสักครั้งจะต้องประทับใจอย่างเเน่นอน หนึ่งคือความแปลกใหม่ของรสชาติที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวผ่านกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นปนสเเกนดิเนเวียกลายๆ ครั้นยังทำให้เราเซอร์ไพร์ด้วยรสชาติที่ไร้ขอบเขตในการนิยาม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบในการรังสรรค์เมนูของเชฟดีมี่ ถือว่าเป็นร้านที่ทำให้เราได้รู้จักตัวตนของเซฟมากขึ้น คอนเซ็ปต์ของร้านทำออกมาได้ดีจนต้องเอ่ยปากชมในหลายๆครั้ง การนำเสนอที่เปิดด้วยจานเเรกอย่าง น้ำเเร่ธรรมชาติใกล้น้ำตกไทรโยก (ōre แปลว่า แร่ หรือเเร่ธาตุ) ที่ต้มสุกปนกับผงมะกรูดเล็กน้อย เป็นสัมผัสปลายลิ้นที่กลมกล่อม เสมือนกับการคลีนร่างกายก่อนที่จะพาเราไปสำรวจเมนูอื่นๆต่อไป สองคือการที่เชฟเลือกชูวัตถุดิบไทยออกมาได้อย่างสวยงาม อาธิเช่น ดอกดาหลา ในเมนูข้าวอบหม้อดิน (Koshihikari Rice), ส้มโอสองสีเคล้ากับเครื่องปรุงแบบไทยๆ, มะม่วงเบาที่บีบเบาๆเพื่อตัดรสชาติในจานของเทมปุระนิ่มๆเสริฟกับใบชิโสะ (Soft Shell Crab Tepura with Shiso) ตบท้ายด้วยของหวานที่เราขอยกนิ้วให้กับ “ไอศกรีมมะพร้าว” เสิร์ฟพร้อมชาอูหลง กลิ่นหอมชูโรงมาตั้งเเต่ยังไม่ทันได้เข้าปาก ความละมุนที่ลงตัวระหว่างรสหวานที่ตัดด้วยขม สุดท้ายเเละท้ายสุดนี้หลังจากที่ได้แอบคุยกับเชฟถึงตัวคอนเซปต์ใน section ใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาให้กับลูกค้าของทาง ōre ที่เชฟดีมี่นั้นตั้งใจที่อยากจะพาเราไปพบกับความแปลกใหม่ในช่วงท้ายของการรับประทานอาหาร โดยจะเป็นการเปิดประสบการณ์ทาน course ที่เป็นของหวานในโซนใหม่ที่กำลังจะใกล้เปิดในเร็วๆนี้ เพราะเชฟบอกกับเราว่าตัวเขาไม่ชอบเวลาที่ทุกคนมาทานเสร็จเเล้วก็กลับไปเฉยๆ ตนจึงอยากที่จะเพิ่มสีสันให้กับช่วงท้ายในการทานอาหารของลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยอะไรที่มากไปกว่าความธรรมดาทั่วไป ซึ่งน่าจะเปิดทำการแบบเป็นทางการราวๆเดือนตุลาคมนี้
ปล.ทางเราเเนะนำให้ท่านเลือกแพกับ Thai Alcoholic Pairing ที่เรียกได้ว่าทำออกมาได้อย่างสร้างสรรค์เเละแปลกใหม่กับการเลือกใช้วัตถุดิบไทย(เกือบ)ล้วนในการนำเสนอ