A MAN WHO LIVES HIS BEST LIFE ก้าวต่อไปที่ยิ่งใหญ่ของ บิวกิ้น – พุฒิพงศ์

0
992

STORY BY MIK JAREEN
PHOTOGRAPHER NARUEBES VADVAREE

แดดช่วงเช้าของเดือนมิถุนายนในมิลานเป็นบรรยากาศที่เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบสบายๆ ฤดูกาลที่กำลังเปลี่ยนเข้าหน้าร้อนทำให้มหานครแห่งนี้คึกคัก ทั้งจากผู้คนที่พากันออกมาใช้ชีวิตกลางแจ้ง และเหล่าผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมแฟชั่นจากทั่วโลกที่มาเพื่อเข้าร่วม Milan Men’s Fashion Week ประจำปีนี้ หนึ่งในนั้นคือ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ซูเปอร์สตาร์ชาวไทยที่บินมามิลานในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์คนล่าสุดของ Gucci และก่อนที่เขาจะเข้าไปชมแฟชั่นโชว์คอลเลกชั่นผู้ชายในบ่ายนี้ เอสไควร์มีโอกาสชวนบิวกิ้นนั่งจิบกาแฟ ชวนเขาคุยถึงความสำเร็จในชีวิตที่เกิดขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา และตามหาว่าอะไรเป็นเป็นส่วนสำคัญที่ประกอบสร้างให้ผู้ชายคนนี้กำลังกลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก

THE SUN IS RISING

“ผมว่า Gucci คือคำตอบของผม ความคลาสสิกของ Gucci อย่างรองเท้าโลฟเฟอร์ง่ายๆ ที่มีดีเทลเล็กน้อย มีตัวตนที่ชัดเจน มีความแตกต่าง มีประวัติศาสตร์ในผลงาน Gucci เลยเป็นแบรนด์ที่ผมมีความสุขที่จะใส่ในทุกๆ วันได้จริง ยิ่งในวันนี้ที่เปลี่ยนดีไซเนอร์มาเป็น ซาบาโต เด ซาร์โน่ ก็รู้สึกว่ายิ่งตอกย้ำสิ่งเหล่านั้นที่เรามองหากับ Gucci ขึ้นไปอีก” บิวกิ้นบรรยายเรื่องราวความหลงใหลในเครื่องแต่งกายที่ใส่มาเจอกันวันนี้แบบตาเป็นประกาย เขายอมรับว่ารู้สึกดีใจที่ได้มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ Gucci เพราะว่าปกติไม่ใช่คนแต่งตัวจัดจ้าน ชอบเสื้อผ้าที่มีความหมายแต่ไม่วุ่นวาย เขาตอบทุกอย่างด้วยความมั่นใจ แต่ไม่เกินพอดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันโดดเด่นของศิลปินชาวไทยวัย 24 คนนี้ที่กำลังสร้างปรากฏการณ์กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก จากภาพยนตร์ หลานม่า (2567) เรื่องล่าสุด และคอนเสิร์ตเดี่ยวในต่างประเทศ “ผมว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะและเวลา” บิวกิ้นพูดออกมาด้วยความหนักแน่น “รวมถึงประสบการณ์ที่ได้พัฒนาตัวเองและได้ลองทำงานในหลายรูปแบบตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในปีนี้มันเป็นจังหวะที่ดี อาจเป็นช่วงที่ผมไม่ได้ทำการแสดงนาน แล้วตัวเราเองก็ดันมีสิ่งที่หนังต้องการ สำหรับเรื่องคอนเสิร์ต ก็เป็นจังหวะที่ไม่ได้ตั้งใจให้ทุกอย่างมาพร้อมกัน ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมีหนังพร้อมกับคอนเสิร์ตใหญ่รวมถึงทัวร์ แต่ถ้ามองในมุมของการเป็นศิลปิน ผมว่านี่ก็เป็นจังหวะเหมาะสมที่เราจะมีคอนเสิร์ตครั้งแรกเป็นของตัวเอง ทุกอย่างมาพร้อมกันในช่วงจังหวะเดียวกัน”

แม้ว่าบิวกิ้นจะเคยปรากฏตัวครั้งแรกในภาพยนตร์และแสดงให้ทุกคนเห็นว่าบิวกิ้นมีทักษะที่รอบด้าน ทั้งการแสดง ร้องเพลง และยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่แผ่ขยายอิทธิพลในการใช้ชีวิตให้กับคนในรุ่นเดียวกันกับเขาด้วย “ผมไม่เชื่อในพรสวรรค์” บิวกิ้นอธิบายวิธีคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา “4-5 ปีที่ผ่านมาผมลองทำงานมาหลากหลายมาก จนรู้ว่างานแบบไหนที่ทำแล้วมีความสุข ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้น ทำให้เราแม่นยำกับช้อยส์ที่เลือก แล้วก็เข้าเป้ามากขึ้น มันไม่มีคำว่าพรสวรรค์หรอก เราทุกคนมีความถนัดในแต่ละเรื่องไม่เหมือนกัน ผมก็มีเรื่องที่ทั้งถนัดและไม่ถนัด แต่ไม่ได้แปลว่าอยากจะทำทุกเรื่องที่ถนัด บางเรื่องที่ถนัดก็ไม่ได้รู้สึกสนุกที่จะทำ แต่บางครั้งเรื่องที่ไม่ถนัดผมกลับสนุกที่จะทำมันมากกว่า ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เรารู้จักตัวเองว่า ถ้าเราไม่ถนัดกับอะไรต้องใช้เวลากับมันเท่าไหร่ เราต้องเรียนรู้มันนานกว่าคนอื่นหรือเปล่า ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่นไหม ถ้าเรารู้ตัวเองแล้วเผื่อเวลาและทุ่มเทให้มันอย่างเพียงพอและเหมาะสม ผมว่าสุดท้ายงานมันก็จะออกมามีคุณภาพได้ตามที่เราต้องการทั้งหมดนั่นล่ะ ในเมื่อเราอยากทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน”

LIFE IS A JOURNEY

หลังจากการปิดตัวของ นาดาวบางกอก บริษัทพัฒนาศิลปินที่เป็นจุดกำเนิดของนักแสดงชื่อดังหลายคน รวมถึงบิวกิ้นด้วย เขาก็ตัดสินใจเปิดบริษัท Billkin Entertainment พร้อมเพิ่มบทบาทใหม่ในฐานะเจ้าของกิจการอย่างเต็มตัว นอกจากผลงานเพลงที่มีลายเซ็นเป็นตัวเองมากขึ้นแล้ว ภารกิจที่กลายเป็นหมุดหมายใหม่ของเขาคือ การมีคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในชีวิต “ผมเป็นคนเดินไปบอกพี่เบล สุพล เองว่าผมอยากทำคอนเสิร์ต รู้สึกว่ามันถึงเวลาที่อยากจะทำและพอมันเป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวของผมครั้งแรก จะมีมุมไหนบ้างที่อยากจะนำเสนอออกไป หรือสิ่งที่เราไม่เคยทำ เป็นมุมใหม่ที่เราไม่มีโอกาสจะได้ทำที่อื่นเลย ยกเว้นในคอนเสิร์ตของตัวเอง นี่คือโอกาสของการทำสิ่งนั้น”

แดดเช้าในมิลานอุ่นขึ้นเหมือนรู้ว่าระดับของบทสนทนาระหว่างบิวกิ้นและเอสไควร์นั้นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ การพาตัวเองไปทัวร์ในต่างประเทศได้สำเร็จในฐานะศิลปินชาวไทยไม่ใช่ความบังเอิญด้วยดีกรีหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต วิชาเอกการตลาด เกียรตินิยมอันดับสอง วัยรุ่นคนนี้ประเมินทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วในหัวของเขา เพื่อใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด “การไปทัวร์ 4 เมืองใหญ่ได้สำเร็จ ผมว่า (หยุดคิด) มันเกินฝัน มันเหลือเชื่อว่าวันหนึ่งงานของเรา ของคนไทย ที่พูดภาษาไทย เนื้อเพลงภาษาไทย มันสามารถไปทำงานกับคนในประเทศอื่นๆ ที่เขาไม่ได้ใช้ภาษาเดียวกับเรา ไม่ได้มีวัฒนธรรมเดียวกับเรา แต่เขาดันเข้าไปถึงหัวใจของเพลงจริงๆ เข้าไปถึงหัวใจของการสื่อสารเหล่านี้ นั่นคืออารมณ์ นั่นคือตัวตน นั่นคือสิ่งที่เราชอบ และอยากนำเสนอ ผมว่างานที่ดีและจริงใจ มันจะก้าวข้ามผ่านกำแพงภาษาและวัฒนธรรมได้ปรุโปร่ง”

กาแฟในแก้วค่อยๆ พร่องลงตามจังหวะเว้นของการเล่าเรื่อง เขานับว่านี่คือความโชคดีของการเป็นศิลปินที่ยังมีคนชื่นชอบในงานของเขา นอกจากบิวกิ้นจะมีหน้าที่ทำให้วันของหลายๆ คนเป็นวันที่ดีแล้ว ขณะเดียวกันทุกการตอบรับก็กลับมาเติมเต็มเขาเองในทุกวันเหมือนกัน สิ่งเหล่านี้มันมีความหมายในชีวิตเขามาก ยิ่งมีคนรักเขามากขึ้น ก็ยิ่งทำให้บิวกิ้นอยากทำงานที่เป็นตัวเองออกมาเรื่อยๆ “มีคนบอกว่าทั้งหมดนี้คือการประสบความสำเร็จ แต่ผมไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะการประสบความสำเร็จมันคือปลายทางของคนที่พอใจกับสิ่งที่เป็น” บิวกิ้นพูดต่อเหมือนรู้ว่าเรากำลังจะถามอะไร หรือนี่จะเป็นความในใจที่เขาอยากบอกทุกเสียงที่ชื่นชมกลับไป ว่าสิ่งที่เห็นเป็นแค่จุดเริ่มต้น และเขาจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ “การมองว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้ว มันทำให้เราเดินไปข้างหน้าในจังหวะที่ช้าลง หรือว่าไม่อยากจะไปข้างหน้าแล้วเพราะคิดว่าเท่านี้คือประสบความสำเร็จ ถ้าคิดอย่างนี้ การได้เข้านาดาวก็นับได้ว่าประสบความสำเร็จ หรือได้เล่นละครสักเรื่องก็รู้สึกว่าแค่นี้จะแฮปปี้มากๆ แล้ว แต่มันมีอีกหลายอย่างที่ทำให้เราโตและไปข้างหน้าแบบพุ่งทะยานมาเรื่อยๆ และยังอยากทำอะไรที่ใหม่ ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ ผมไปได้ไกลกว่านี้ ผมยังสนุกกับการไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา” เขาหยุดจังหวะการพูดเหมือนมีอะไรในหัว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ เหมือนกำลังทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้พูดออกมาว่าถูกต้องแล้ว ตรงกับความรู้สึกในใจที่สุดแล้ว

“ผมว่าทุกคนก็กลัวจะล้มเหลว ผมก็มีมุมนั้นเหมือนกัน” ไหนๆ ก็กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านในวัย 25 เราเลยอยากรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบพุ่งทะยานของเขาจะมีสิ่งไหนรองรับไหม ถ้าเกิดวันหนึ่งจะต้องร่วงหล่น “ในระยะเวลาที่ผ่านมามันก็เกิดขึ้นบ้าง เพลงที่ปล่อยก็ไม่ใช่ทุกเพลงที่จะประสบความสำเร็จหรือดังไปทั้งหมด การที่จะรักษาความปลอดภัยของใจผมได้คือการมองหาแนวทางป้องกันและแผนสำรอง หรือต้องมานั่งถอดบทเรียนว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นมีที่มาจากอะไร แต่สุดท้ายถ้าจะมีสักงานไม่ประความสำเร็จ ก็ไม่เป็นไร เราไปข้างหน้าด้วยการเรียนรู้จากตรงนี้ เพื่อจะได้พัฒนาและสนุกไปกับมันได้อีก เพราะมันก็ไม่ได้มีสูตรสำเร็จให้เราทำแล้วประสบความสำเร็จทุกครั้ง งานครีเอทีฟมันไม่ได้เป็นแบบนั้น”

MAN AT HIS BEST

เกือบชั่วโมงที่ได้มีโอกาสคุยกันแบบสบายๆ กับผู้ชายวัย 24 คนนี้ การนั่งคุยในโลเคชั่นต่างถิ่นทำให้บิวกิ้นเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ก่อนจากกันเราเลยถามด้วยความเป็นห่วงว่า โลกที่หมุนเร็วในยุคนี้ มันบีบให้คนรุ่นใหม่อย่างเขาอยากประสบความสำเร็จจนลืมใช้ชีวิตให้สมวัยหรือเปล่า “ไม่หรอกครับ” เขาตอบ “มันก็เป็นโอกาสที่ดี เราอาจจะเหนื่อยกว่า อาจจะเจองานที่ยากกว่า อาจจะเจออะไรที่มันหนักกว่าคนปกติหลายๆ คน แต่ก็ทำให้เราเติบโตเร็วขึ้น ถ้าเราไม่ได้เจอช็อตตี้ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการก้าวเข้ามาสู่จุดนี้ เลยทำให้เรามีพัฒนาการไปข้างหน้าอยู่เรื่อยๆ มันไม่มีเรื่องของอายุมาเกี่ยวสักเท่าไหร่ ถ้ารู้สึกว่ายังไหวแล้วสนุกกับสิ่งที่ทำ ผมว่าอายุเท่าไหร่มันก็ไปได้ ผมไม่ชอบทำอะไรที่มันค้างคา แล้วก็ไม่ชอบอยู่เฉยๆ มันอาจจะเป็นนิสัยที่ดีหรือไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมทำคะแนนให้ติดมหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่ ม.5 เรียนมหาวิทยาลัยก็จบภายใน 3 ปีครึ่ง เราก็จะได้ก้าวเข้าสู่ขั้นต่อไปให้เร็วที่สุด” ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูสนุกสนานร่าเริงตลอดเวลา กลับซ่อนความจริงจังของการใช้ชีวิตอยู่ข้างไหน นี่น่าจะเป็นคุณสมบัติสำคัญของบิวกิ้นที่สามารถสร้างสมดุลให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี และใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงไม่หยุดพัฒนาทักษะของตัวเอง

“ผมไม่อยากให้คนมองแค่ปลายทางความสำเร็จ บางคนอาจไม่ได้เหมาะกับการทำ งานทุกวัน บางคนอาจต้องการพักบ้าง” นี่เป็นสิ่งที่บิวกิ้นอยากฝากให้คนในเจนเนอเรชั่นเดียวกันซึ่งอาจกำลังมองการใช้ชีวิตแบบเขาเป็นตัวอย่าง บิวกิ้นเล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งงานของเขาโดนยกเลิกกระทันหันจนทำให้มีเวลาว่าง 4 วันอย่างที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่เพราะทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งน่าจะเกิดจากความไม่ชินกับชีวิตที่ไร้แบบแผน เขายอมรับอย่างร่าเริงว่าชอบทำตัวให้ยุ่งๆ มากกว่าใช้ชีวิตแบบช้าๆ อย่างน้อยที่สุดก็ชอบอย่างที่เป็นในตอนนี้ “อยากให้ทุกคนเข้าใจตัวเองได้ดีว่ามีข้อจำกัดยังไง มีความต้องการแบบไหน และต้องการจะทำอะไร ที่ผ่านมาผมลองทำอะไรหลายอย่างมาก ต้องขอบคุณพ่อแม่ที่ส่งเรียนหลายอย่างมาก ชีวิตนี้เรียนเยอะมาก เลยรู้ว่าอะไรที่มันเป็นเรา และมีความสุขที่จะทำ เราต้องรู้จักตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร ต้องการหรือไม่ต้องการอะไร ผมเคยได้ยินอาจารย์คนนึงบอกว่า เราควรทำสิ่งที่ถนัดก่อน แล้วค่อยทำสิ่งที่ชอบสุดท้ายเราต้องการความสมดุลระหว่างสิ่งที่ทำให้ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยได้ แต่ไม่ลืมความชอบ ตัวตน และความฝันที่แท้จริงของตัวเอง อยากให้ทุกคนลองใช้ชีวิตเยอะๆ ลองทำอะไรหลายๆ อย่าง พยายามทำความเข้าใจตัวเองให้ดีที่สุด หารูปแบบที่เรามีความสุขกับมันที่สุด ถ้าเรารู้จักตัวเองในทุกแง่มุมทั้งรสนิยม และข้อจำกัดของร่างกายและตัวตน จะทำให้เราใช้ชีวิตได้บนโลกแห่งความเป็นจริง แล้วก็ไม่กัดกินตัวเองด้วย”

อีกคุณสมบัติเด่นของบิวกิ้นคือการเป็นตัวของตัวเองขณะที่ยังรักษาสไตล์ และความเท่ได้อย่างดี “ชีวิตเราต้องลองผิดลองดู ทุกคนต้องมีชุดที่เคยใส่ พอกลับไปดูอีกที แล้วพูดกับตัวเองว่า แต่งตัวอะไรวะเนี่ย! (หัวเราะ) ถ้าเรื่องการแต่งตัว ผมจะมีมาตรฐานของตัวเอง ถ้าแต่งตัวไปออกกอง ก็จะชิลล์มาก ใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น เพราะรู้ว่ายังไงไปถึงก็ต้องเปลี่ยนชุด แต่ถ้าจะไปออกอีเว้นท์ ก็ต้องแต่งตัวให้มันเหมาะกาลเทศะ ต้องมั่นใจและภูมิใจที่จะแต่งตัวที่มันแสดงตัวตนของเราด้วย” เขายกตัวอย่างเรื่องการแต่งตัว เราเลยถามปิดท้ายในการสนทนาครั้งนี้ว่านิยามของ Man at His Best ในแบบของบิวกิ้นคืออะไร

“การอยู่ในจุดที่ (นิ่งคิด) ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น ภูมิใจในสิ่งที่เราทำในทุกวัน ถ้าเรารู้สึกว่าเราภูมิใจกับการใช้ชีวิตในทุกวัน มีความสุข และรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นเราในทุกวัน นี่ละคือเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของทุกคน”