Thailand Media Never Stop Moving เผยภูมิทัศน์สื่อไทยในยุคแห่งความหลากหลาย

0
74

เมื่อไม่นานมานี้ทาง Nielsen ประเทศไทยผู้นำระดับโลกด้านการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูล ได้ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวภูมิทัศน์ของสื่อไทย โดยเฉพาะการรับชมสื่อโทรทัศน์ อันเป็นงานหลักที่ Nielsen ทำมาอย่างยาวนานทั้งในประเทศไทยและในวงการสื่อของโลก ผ่านหัวข้อ ‘Thailand Media Never Stop Moving’ โดยมี “รัญชิตา ศรีวรวิไล” ผู้อำนวยการธุรกิจมีเดีย บริษัท Nielsen ประเทศไทย เป็นผู้ให้ข้อมูล ในส่วนของการเนื้อหาในการแถลงเป็นอย่างไร Esquire ได้ทำการสรุปมาแบบกระชับๆ เข้าใจง่ายมาให้คุณอ่านแล้ว 

เริ่มต้นที่ข้อมูลพฤติกรรมการเสพสื่อของปีนี้ ข้อมูลดังกล่าวได้มีการสรุปว่าพฤติกรรมการรับชมของคนในยุคนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่โทรทัศน์เพียงอย่างเดียว หากแต่กระจายไปสู่แพลตอร์มความบันเทิงอื่นก็มีมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และบริการสตรีมิ่งหลากหลายผู้ให้บริการ

ตัวเลขดังกล่าวพบว่าประชากรจำนวน 87% รับชมสื่อผ่านโทรทัศน์ ส่วนการใช้บริการอินเตอร์เน็ตนั้น 89% เน้นไปที่การใช้เพื่อเสพโซเชียลมีเดีย ใช้ในการรับชมไลฟ์ทีวี 70% และดูผ่านสตรีมมิ่งที่ 52%

นั่นแสดงถึงพฤติกรรมการเสพสื่อที่แม้ว่าโดยหลักจะอยู่ที่โทรทัศน์ แต่ก็ยังรับชมหน้าจออื่นๆ ร่วมกันไปด้วย ซึ่งในแง่การรับชม 2 อุปกรณ์แบ่งเป็นโทรทัศน์ 56% และดูผ่านโทรศัพท์ที่ 44% ส่วนกลุ่มหลักที่ดูโทรทัศน์จะเป็นกลุ่มคน Gen X ที่อายุ 55 ปีขึ้นไป มากกว่าทั้งกลุ่ม Gen Y และ Gen Z

นอกจากพฤติกรรมการรับชมที่เปลี่ยนไป หากเราเน้นเจาะลึกไปยังการรับชมผ่านสตรีมมิ่ง จะพบว่าปัจจุบันมีการรับชมผ่านสตรีมมิ่งถึง 67% ของกลุ่มตัวอย่าง โดยแบ่งเป็นการดูแบบชำระค่าสมาชิกที่ 50% และแบบที่ต้องรับชมชมโฆษณาเพื่อจะได้รับชมคอนเทนต์ที่ 48% ซึ่งสำรวจตัวอย่างจากประชากรกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป 

ส่วนคอนเทนต์หลักที่คนไทยชอบดูจากทุกแพลตฟอร์มคือกีฬา และละคร สอดคล้องกับรสนิยมการเสพสื่อของประชากรในเอเชียอินโดนีเซีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน 

และจากการสำรวจพฤติกรรมการเสพสื่อในปี 2023 พบว่าคนดูโทรทัศน์อยุ่ที่ 63% และดูสตรีมมิ่งอยู่ที่ 37% มาในปีนี้ 2024 ตัวเลขการรับชมสตรีมมิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเป็น 47%  ในจำนวนที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าจำนวนการรับชมโทรทัศน์ บ่งบอกถึงความน่าจะเป็นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในแง่ของการแพลนมีเดียและการลงงบโฆษณาของแบรนด์สินค้าต่างๆ ถึงแม้ว่าสื่อโทรทัศน์จะเป็นสื่อที่ได้รับงบโฆษณามากที่สุดถึง 50% ของจำนวนเงินโฆษณาทั้งหมด แม้ตัวเลขงบโฆษณาดังกล่าวลดลงมาถึง 15% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก

คุณรัญชิตาได้พูดถึงประเด็นนี้บนเวทีไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ว่าตัวเลขงบโฆษณาจะลดลง แต่ก็ทำให้เห็นว่าถึงอย่างไรสื่อโทรทัศน์ก็ยังเป็นสื่อที่มีคนดูมากที่สุด แม้ว่าการรับชมไลฟ์ทีวีผ่านออนไลน์และการสตรีมมิ่งจะโตมาก แต่ผู้ประกอบการช่องทีวีไทยก็มีการปรับตัวด้วยการสร้างแอพลิเคชั่นของช่องโดยตรงไว้รองรับพฤติกรรมการรับชมดังกล่าว ในส่วนของการสรุปคุณรัญชิตามองว่าสื่อไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นทางรอดในยุคการบริโภคหลายหน้าจอ ของธุรกิจสื่อและธุรกิจโทรทัศน์ ควรนำกลยุทธ์การผสมผสานสื่อมาสร้างเป็นจุดแข็งให้กับแบรนด์ตัวเอง เพื่อให้ผู้รับชมสามารถเข้าถึงคอนเทนต์ที่สร้างขั้นได้จากหลากหลายทิศทาง อีกทั้งยังทิ้งท้ายอีกว่า “การสตรีมคืออนาคต” ย้ำเตือนให้คนทำสื่อมองเห็นความสำคัญของสเตจใหม่ในพฤติกรรมการรับสื่อของคนรุ่นต่อไปในอนาคต