The New Black Monday: ถอดบทเรียนในวิกฤติตลาดหุ้นสหรัฐฯ

0
67

นับเป็นเรื่องฮือฮาที่ส่งแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรง จนเกิดเป็นกระแสแห่งความโกลาหลในตลาดทุนเกือบทุกที่ในโลก เพราะเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์สุดช๊อคเมื่อหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักแบบฉุดไม่อยู่  โดยการร่วงลงที่ว่าทำให้

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 1,033.99 จุด หรือ 2.6%  ปิดที่ 38,703.27 จุด

ดัชนีแนสแดคคอมโพสิตร่วงลง 3.43% ปิดที่ 16,200.08 จุด

ดัชนี S&P 500 ร่วงลงร่วงลง 3% ปิดที่ 5,186.33 จุด

มันเกิดอะไรขึ้น?

              ในการร่วงลงเป็นประวัติการณ์ในรอบ 2 ปีนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มเทคฯ 7 บริษัทอันดับแรกของ Nasdaq ที่เราเรียกกันว่า Magnificent 7 ต้องสูญเสียมูลค่าไปถึง 995,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงเปิดตลาดในวันดังกล่าว

              วิกฤตินั้นส่งต่อแรงกระเพื่อมอย่างแรงเป็นลูกโซ่ไปยังตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งยุโรป เอเชีย โดยเฉพาะที่ตลาดหุ้นไต้หวัน,เกาหลีใต้,ญี่ปุ่น รวมถึงตลาดหุ้นไทย  ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากสภาวะ Panic Sell นั้นอย่างรุนแรง

              สถานการณ์ดังกล่าวสร้างฉากทัศน์ที่ทำให้นักวิเคราะห์ในวงการการเงิน การธนาคาร ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“นี่คือ Black Monday ครั้งใหม่ หลังจากที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในวันที่ 19 ตุลาคมปี 1987 ที่จะพาเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความถดถอย(Recession) ในไม่ช้า”

              ประกอบกับการวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ที่เพิ่มโอกาสจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจาก 15% เป็น 25% ก็ยิ่งทำให้ฉากทัศน์แห่งความถดถอยนั้นดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

คำถามคือ หากเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก เราควรรับมืออย่างไร? สิ่งที่เราถอดบทเรียนมาได้ คือ

              บทเรียนแรก การจับสัญญาณการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ ซึ่งเริ่มต้นจากจากประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจในเดือนกรกฏาคมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเลขที่ว่านั้นก็คือ

              1.ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่ปรับตัวลดลง นั่นหมายถึงอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น

              2.ตัวเลขภาคการผลิตที่ดัชนี PMI ที่อ่อนแอลงกว่าการประกาศเมื่อเดือนที่แล้ว

3.ตัวเลขกำลังการซื้อของผู้บริโภค ที่ปรับตัวลดลงอันเป็นผลมาจากการคงอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในกรอบ 5.25-5.5 %

ตัวเลขเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่สามารถเป็นสัญญาณ ให้เราได้รู้จับสังเกตว่าอีกไม่นานว่าในตลาดหุ้นกำลังจะเกิดอะไรขึ้นได้อย่างคร่าวๆ แล้ว ส่วนตัวเลขอื่นๆ ที่สามารถใช้เป็น Indicator ไว้ค่อยไปศึกษาเพิ่มเติมเอา เมื่อคุณโปรมากกว่านี้

              บทเรียนที่สอง เมื่อเกิดวิกฤติหุ้นราคาร่วงอย่างรุนแรงแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่การหนีตายเทขายหุ้นอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น ทำให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และตราสารหนี้ภาครัฐ เป็นต้น ดังนั้นการเพิ่มพอร์ตการลงทุนในรูปอื่นๆ ไว้บ้าง โดยไม่ให้น้ำหนักไปที่การลงทุนแบบใดเป็นพิเศษ ก็อาจดูเป็นวิธีการที่ Old School ไปหน่อย แต่มันก็ใช้ได้ผลทุกครั้งในยามที่วิกฤติเกิดขึ้น

              บทเรียนที่สาม เมื่อสถานการณ์หุ้นตกเกิดขึ้น เรามักจะมีมายาคติบางอย่างที่ใช้เข้าข้างตัวเอง เช่นว่าหุ้นตกไป เดี๋ยวมันก็กลับมา นั่นคือเรื่องจริงที่มันจะกลับมาในวันหนึ่ง  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน เผลอๆ วันนั้นอาจเป็นวันที่คุณเจ็บหนัก จนการรีบาวด์ตัวไม่เพียงพอ

ดังนั้น ใจต้องนิ่ง Cut Loss ได้ก็ควรทำตามแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ การตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อจำกัดวงความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดกับพอร์ตหุ้น เงินในกระเป๋า และจิตใจของตัวคุณเอง

และบทเรียนสุดท้ายที่ต้องรู้คือ ในโลกของตลาดทุนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกของพรมแดนนี้ ล้วนแล้วแต่เชื่อมร้อยทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในที่แห่งหนึ่ง ย่อมมีผลกระทบต่อพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไป การเป็นนักลงทุนในโลกสมัยใหม่จึงต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล สนใจเหตุการณ์รอบตัวในแง่อื่นๆ ให้มาก เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน ซึ่งในยุคโซเชี่ยลฯ มีข้อมูลให้คุณได้ศึกษาหาความรู้เพียบ

ทั้งสี่บทเรียนที่เราเล่าให้ฟัง คุณสามารถไปปรับใช้ได้ตามเหมาะสม ทั้งหมดขึ้นอยู่กับจังหวะ เวลา และการฝึกฝนของตัวคุณให้พร้อมมือรับมือบนโลกแห่งการลงทุนที่ความแน่นอนคือความไม่นอนนอน และผู้ที่โชคดีที่สุดนั้นไม่ใช่ใคร แต่คือผู้ศึกษาหาความรู้อย่างเข้าใจตามความเป็นจริง

เราขอให้คุณโชคดี