เมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง MINI ประเทศไทย นำสื่อมวลชนไทยรวมถึง Esquire ทดสอบสมรรถนะของรถยนต์ตัวใหม่ของค่ายอย่าง MINI Cooper SE โดยจะเริ่มขับขี่จากจังหวัดปทุมธานีและไปจบที่ร้าน The Barnery จังหวัดสระบุรี
MINI Cooper SE 3 ประตูพลังงานไฟฟ้าใหม่ในรุ่นที่ 5 มาพร้อมกับขุมพลังใหม่ จากการส่งกำลัง 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.7 วินาที พร้อมสัมผัสฟีเจอร์ใหม่ภายในห้องโดยสาร จากหน้าจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง MINI Interaction Unit ทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า และโหมดการใช้งาน MINI Experience ทั้ง 7 โหมด ที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อีกมากมาย
ด้วยขนาดของตัวรถที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ้นก่อนหน้า ทำให้รู้สึกว่าการเป็นรถ 3 ประตูนั้นไม่ได้แคบอย่างที่คิด จากที่ตัวผมซึ่งสูงราวๆ 178 ซม. สามารถนั่งได้แบบเหลือที่ว่างบนหัวและช่วงขาพอสมควร ทั้งเบาะหน้าและเบาะหลัง แต่กับตัวประตูทางเข้าออกนั้น เมื่อได้ลองเข้าและออกจากเบาะด้านหลัง รู้สึกว่าไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่เท่าไหร่
และด้วยความที่เป็นรถคันเล็กและน้ำหนักเบา ทำให้เวลาที่เร่งความเร็วจะให้ความรู้สึกว่าเหมือนรถกำลังจะเหินขึ้นฟ้าไป และด้วยช่วงล่างที่ค่อนข้างจะแข็งทำให้ไม่เหมาะที่จะเอาออกไปลุยในถนนที่สภาพไม่สู้ดี นอกจากนี้ยังยึดเกาะถนนในช่วงเข้าโค้งได้ค่อนข้างดี MINI Cooper SE จึงเหมาะที่จะเป็นรถที่ไว้ใช้ขับขี่ภายในเมืองใหญ่เสียมากกว่า
ด้วยขุมพลังของ MINI Cooper SE ตามที่เอกสารเขียนไว้สามารถทำความเร็วได้สูงสุดที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งในความเป็นจริงนั้นคิดว่าสามารถทำได้มากกว่านั้นนิดหน่อย จะอยู่ที่ราวๆ 175 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งหากได้สัมผัสความเร็วระดับนี้ใน Go-Kart Mode จะมาพร้อมกับเสียงสังเคราะห์ของเครื่องยนต์ดังขึ้นมา ได้อารมณ์ประหนึ่งรถสปอร์ตเลยทีเดียว
พูดถึง Mode ต่าง ๆ แล้ว ตัวรถจะประกอบไปด้วย Experience Mode ถึง 7 Mode ด้วยกัน Mode ต่างจะช่วยให้การขับขี่ของเรามีอรรถรสมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยไฟและเสียงต่าง ๆ ภายในตัวรถ ซึ่งโหมดแรกที่เราจะได้เจอเมื่อติดเครื่องคือ Core Mode ที่จะเป็น Mode ปกติสำหรับการขับขี่ ต่อมาจะเป็น Go-Kart Mode หรือ Sport Mode ของรถคันอื่นๆ ที่จะทำให้เราเร่งความเร่วได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหนักของคันเร่ง Vivid Mode จะเป็นโหมดที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การฟังเพลงของคุณให้ดีขึ้น ด้วยการปรับแสงสีให้เป็นไปตามอัลบั้มที่คุณกำลังฟังอยู่ แน่นอนว่าเมื่อเป็นรถไฟฟ้าก็ต้องมี Green Mode หรือโหมดประหยัดพลังงาน ซึ่งจะปรากฎรูปนกสีเขียวบนจอซึ่งจะกระพือปีกเร็วตามความเร็วที่เราขับ ซึ่งเมื่อเราขับเร็วเกินกว่าที่กำหนด นกจะเปลี่ยนเป็นเสือเพื่อเตือนว่าเรากำลังขับเร็วเกินไป
นอกจากนี้ยังมี Timeless Mode โหมดที่จะพาทุกคนไปพบกับบรรยากาศของความเป็นรถคลาสสิค Balance Mode โหมดที่จะช่วยให้ผู้ที่ขับขี่และผู้โดยสารผ่อนคลายกับการขับขี่ และสุดท้ายคือ Personal Mode โหมดส่วนตัวของแต่ละคนที่สามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ
มาพร้อมกับ MINI Intelligent Personal Assistant ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทย พร้อมตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” หรือจะเลือกกดปุ่มสั่งการด้วยเสียงบนพวงมาลัย ซึ่งระบบทุกอย่างจะขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 ที่มาพร้อมกับระบบช่วยจอด ระบบช่วยเลี้ยว ระบบถอยหลังที่หากคุณเข้าผิดซอยคุณก็สามารถให้รถถอยออกมาได้ตามที่คุณเคยเข้าไป วึ่งในบางระบบที่กล่าวมานั้นต้องทำการซื้อแพ็คเกจแยกไปอีก
แบตเตอรี่แรงดันสูง 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมงในมินิ คูเปอร์ เอสอี ใหม่ พร้อมส่งพลังงานสำหรับการเดินทางที่ระยะทางสูงสุด 402 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที สามารถขับไปกลับระหว่างกรุงเทพไปจังหวัดใกล้ ๆ ได้อย่างไม่ต้องกังวล