Mini Cooper เข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ด้วยการเปิดตัว Mini ใหม่ล่าสุดถึง 4 รุ่น ได้แก่ Mini Cooper SE, Mini Countryman SE, Mini John Cooper Works Countryman และ Mini Aceman ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้า สไตล์การออกแบบที่มีความเป็นมินิมอล สมรรถนะการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ ทั้งยังต่อยอดพันธกิจของแบรนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดยนตรกรรมไฟฟ้าแบบเต็มตัวภายในปี 2030
Mini Cooper SE
เริ่มต้นด้วย Mini Cooper SE 3 ประตู ในรุ่นที่ 5 นี้ ได้เอาความเป็น Mini แบบดั้งเดิมมาผสานเข้ากับนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ออกแบบใหม่ออกมาตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ด้านหน้าของรถโดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ประจำตัวของ Mini Cooper ส่วนหน้ารถที่สั้น ฐานล้อยาว และล้อขนาดใหญ่ มือจับประตูที่เรียบเนียนไปกับพื้นผิวของตัวรถสมกับโฉมใหม่ในสไตล์มินิมอล เช่นเดียวกับซุ้มล้อและขอบด้านข้างรถที่เสมอกับผิวตัวถังรอบคัน ซึ่งเป็นไปตามแบบฉบับของรุ่นคลาสสิก มีโหมดไฟซิกเนเจอร์ให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยมโฉมใหม่กับกรอบสีเงิน Vibrant Silver
ภายในห้องโดยสารออกมาแบบมาเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะและยังคงความเรียบง่ายเอาไว้ โดยแผงหน้าปัด แผงประตู และฝาปิดช่องเก็บของต่าง ๆ ภายในรถล้วนผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90% เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตทำขึ้นมาด้วย Vescin สีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของแบรนด์ที่นำมาใช้แทนหนัง แม้แต่ล้อเองก็ใช้อะลูมิเนียมรีไซเคิลดีไซน์ทูโทน ขนาด 18 นิ้วแบบ Slide spoke พร้อมกับชุดแต่ง Favoured Trim แผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน ในขณะที่กล่องเก็บของที่บุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ พร้อมสายผ้าสำหรับใช้ช่วยเปิดที่เก็บของให้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
มาพร้อมหน้าจอ MINI Interaction Unit ทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า ซึ่งเป็นจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง โดยส่วนบนของหน้าจอจะเป็นพื้นที่แสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น ความเร็วรถและสถานะแบตเตอรี่ ส่วนที่เหลือของจอแสดงผลทรงกลมยังสามารถปรับเปลี่ยนให้แสดงข้อมูลการนำทาง เพลงและความบันเทิงอื่น ๆ มีโหมดการใช้งาน MINI Experience 7 โหมดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ประกอบไปด้วย Core Mode, Go-Kart Mode, Green Mode, Vivid Mode, Personal Mode, Timeless Mode และ ‘Balance Mode
มาพร้อมผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทย พร้อมตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” หรือจะเลือกกดปุ่มสั่งการด้วยเสียงบนพวงมาลัยก็ได้ มีฟังชั่นก์กุญแจรถดิจิทัล MINI Digital Key Plus ที่สามารถเปลี่ยนสมาร์ทโฟนหรือสมาร์ทวอทช์ให้กลายเป็นกุญแจรถ มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 6.7 วินาที สามารถเดินทางได้สูงสุด 402 กิโลเมตร รองรับการชาร์จไฟแบบ DC ได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ จาก 10% ถึง 80% ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที
Mini Countryman SE
ต่อมาเป็น Mini Countryman SE รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของตระกูล ที่การออกแบบคล้ายกับตัวเล็กอย่าง Mini SE แต่คันใหญ่กว่า พื้นที่กว้างกว่า พร้อมลุยมากกว่า มาพร้อมไฟหน้า LED และระบบปรับเปลี่ยนรูปแบบแสงไฟตามโหมด Signature ต่าง ๆ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย Windmill Spoke ดีไซน์ทูโทน หลังคาในสีใหม่ Vibrant Silver พร้อม Panorama Glass Roof
ภายในเองก็ถูกออกแบบใหม่เช่นเดียวกัน แผงแดชบอร์ดหุ้มด้วยผ้าถักในสี Dark Petrol รับกับเบาะ John Cooper Works Sport Seats สี Vintage Brown มาพร้อมระบบเสียง Harman Kardon surround sound ระบบภายในเหมือนกันกับ Mini SE แต่จะเพิ่มโหมดพิเศษมาให้คือ Trail Mode มาพร้อมฟังก์ชั่นอย่าง เข็มทิศ และกราฟฟิกต่าง ๆ ในระบบ Navigation พร้อมระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 รวมถึงแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในแบบ Toggle Bar และครบครันด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่าง ระบบช่วยจอด Parking assistant Plus, Drive Recorder, กล้องรอบคัน Surround view และอื่น ๆ อีกมากมาย
ตัวรถมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 ที่สามารถเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.6 วินาที และยังทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระยะทางขับขี่สูงสุดถึง 432 กิโลเมตรต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 130 กิโลวัตต์
Mini John Cooper Works Countryman
ตามมาด้วย Mini John Cooper Works Countryman รุ่นที่ใหญ่ที่สุดจาก Mini ที่มีมาให้แฟน ๆ ชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 5 คัน มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 เร่งความเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไฟหน้า LED มินิดีไซน์ใหม่ พร้อมแถบไฟแนวนอนอันเป็นเอกลักษณ์จากโหมด JCW Signature ช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ของรถยนต์แบบ Sports Activity Vehicle มาพร้อมกับไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ในโหมด JCW Signature ส่วนกระจังหน้าดีไซน์ใหม่รูปทรงแปดเหลี่ยมที่ตกแต่งด้วยสีดำ High-gloss Black และโลโก้ JCW ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ยังมาพร้อมสีตัวถังสีพิเศษ Legend Grey ซึ่งตัดกันกับหลังคาสีแดง Chili Red ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย John Cooper Works Flag Spoke ในแบบทูโทน
ห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีแดงและสีดำบริเวณคอนโซล แผงประตู และเบาะนั่งแบบสปอร์ต ที่หุ้มด้วยหนังวีแกน Vescin และเนื้อผ้า เบาะนั่งด้านหลังสามารถพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุดตั้งแต่ 505-1,530 ลิตร มาพร้อมกับหน้าจอกึ่งกลางคอนโซลแบบ OLED ทรงกลม ความละเอียดสูง อันเป็นเอกลักษณ์ของ Mini รุ่นที่ 5 รองรับโหมดการใช้งาน MINI Experience และแผงควบคุมดีไซน์ใหม่ในรูปแบบ Toggle Bar รวมทั้งยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อควบคุมฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ
Mini Aceman
และปิดท้ายด้วย Mini Aceman ครั้งแรกในตลาดประเทศไทย มาในโฉมครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ขับขี่สะดวกด้วยความยาวตัวรถเพียง 4.07 เมตร แต่ยังเพียบพร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอยสำหรับทุกสถานการณ์แบบรถ 5 ที่นั่ง มาพร้อมจอ OLED ทรงกลมเช่นเดียวกับมินิรุ่นอื่น ๆ พร้อมแผง Toggle Bar และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบครบครัน
Aceman ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ขนาด 54.2 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เช่นเดียวกับ Mini Cooper SE สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 7.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 405 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 0-100% ได้ในเวลา 5.45 ชั่วโมง และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ ที่ทำความเร็วในการชาร์จจาก 10-80% ได้ในเวลา 31 นาทีเท่านั้น