ชีวิตของผมมักจะวิ่งจากการเผชิญหน้ามาตลอด ผมเริ่มต้นชกมวยในตอนที่อายุเข้าเลขสี่ และในที่สุดผมก็รู้การต่อยมวยคืออะไร ได้ลองซัดเข้าที่คางด้วยตัวเองด้วย
ในตอนนี้ผมอายุปาเข้าไป 40 ปีแล้ว ผมชูหมัดของผมขึ้นและไม่วิ่งหนีไปไหนเป็นครั้งแรกนับตั้งเกรด 6 (ป.6 ของไทย) มันเกิดขึ้นที่ยิมเหมือนกับออกมาจากภาพยนต์เรื่อง Rocky ยังไงยังงั้น ผมทำงานอยู่ในสำนักงานที่ถูกเช่าบนชั้นสองของอาคาร 3 ชั้นในโรม ประเทศอิตาลี ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการมองออกไปนอกหน้าต่าง แก้โปรเจ็กต์ที่ผิดพลาดอย่างเบื่อหน่าย แล้ววันหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงกระแทกของอะไรบางอย่าง
ขึ้นบันไดหนีไฟไปที่ชั้นสามที่ถูกทำความสะอาดและตกแต่งใหม่ “มันคือยิม” ชายที่ดูท่าทางแข็งแกร่งบอกผม และแน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกาย กระสอบทราย และอื่นๆ ที่ควรจะมี ชายคนนั้นคือ Lee Fortune แชมป์เปี้ยนรุ่นมิดเดิลเวทหนึ่งสมัยจากสมาคมมวยโลกแห่งอเมริกา เขาถามผมว่าผมอยากจะเรียนมวยมั้ย ลีซึ่งในตอนนี้เป็นตำรวจ วางแผนที่จะทำงานที่ยิมควบคู่ไปด้วย มีค่าใช้จ่าย 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สำหรับการฝึกสอนไม่จำกัดเวลา “ไม่ใช่คิกบ๊อกซิ่งนะ” เขาบอก “ มวยจริงๆ แต่เวลาซ้อม คุณจะต้องใส่เครื่องป้องกัน” ผมเลยตอบไปว่าแน่นอนสิ
“จ่ายเงินให้กับใครก็ไม่รู้ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อนราคา 25 ดอลลาร์ต่อเดือน แล้วเขาจะชกเข้าที่หัวของนาย” เพื่อนผมสรุปให้ฟัง
แต่แน่นอนว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ในช่วงที่ผมเติบโตในย่านชานเมืองคลีฟแลนด์ หากคุณไม่ใช่นักกีฬา คุณจะตกเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้ง คุณจะถูกผลัก ถูกแกล้ง และถูกตี และใช่ นั่นแหละคือตัวผม ผู้ใหญ่ในยุคนั้นจะชอบบอกว่าต้องลุกขึ้นสู้สิถึงจะหยุดการกลั่นแกล้งได้ แต่ตัวผมไม่เคยทำได้เลย ผมเคยลองครั้งหนึ่งตอนป.6 ทั้งห้องมารวมตัวกันที่สนามหญ้าเพื่อให้ผมกับเพื่อนอีกคนสู้กัน แต่ผมบอกพวกเขาว่ามันงี่เง่าและพยายามเดินหนีออกไป แต่สุดท้ายก็ถูกผลักกลับเข้ามาในฝูงชนพร้อมกับเสียงหัวเราะและปรบมือชอบใจ “ดูสิ อย่างกับพวกขี้แพ้สู้กัน” ผมพยายามทำไปเรื่อยๆ จนเราทั้งคู่หยุด และวิ่งออกมาร้องไห้ในคาบเรียนเปียโน สำหรับผมแล้ว ช่วงเวลาในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่มักจะใช้ชีวิตคนเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้งหรือทำแม้กระทั่งวิ่งหนี
ที่บอกว่าหลีกเลี่ยงการทะเลาะคือทุกรูปแบบ ทะเลาะกับพ่อแม่หรือพี่น้อง การโดนต่อยในห้องล็อกเกอร์ ในช่วงม.ต้น ผมเคยลองแก้ไขการถูกรังแกด้วยการไปรังแกคนอื่นก่อน แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าตั้งแต่ครั้งแรก ตอนช่วงม.ปลายผมถูกตีจากพวกที่เหยียดเชื้อชาติ ผมได้แต่ยืนงงและคิดว่าทำไมและควรทำอย่างไรดี พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่หน่อย ผมก็เอาแต่หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจจะเป็นภัยคุกคามมาตลอด เคยแม้กระทั่งวิ่งหนีคนที่จะเข้ามาทำร้านผมกับเพื่อโดยไม่แม้แต่จะป้องกันตัว การสู้กลับไม่ใช่แค่ไม่เคยคิดถึง แต่ไม่มีภาพของการสู้กลับอยู่ในหัวด้วยซ้ำ
ผมใช้ชีวิตแบบนั้นมา 40 ปี และยิมแห่งนี้ก็ให้ทางเลือกแก่ผม ผมคิดว่าบางทีมันคงถึงเวลาแล้วล่ะที่จะสู้กลับ เขาสั่งให้ผมไปซื้อรองเท้าหุ้มข้อ ผ้าพันมือ นวม แล้วก็ฟันยางมา
อาทิตย์แรกที่ยิมมีคนประมาณ 12 คนเห็นจะได้ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วอายุราวๆ 20 ปีเศษๆ ยกเว้นผมที่อายุ 40 ปี กำลังยืดเส้น กระโดดเชือก วอร์มร่างกาย ลีเจ้าของยืมที่อายุประมาณ 30 ปี สอนพวกเราให้เอาผ้าพันมือให้เป็น ผมได้เรียนรู้ว่าการผันมือและการใส่นวมคือการป้องกันมือของคนชก ไม่ใช่หัวของคนที่โดนชก เพราะนี่คือกีฬาที่ใช้หมัด
เราเรียนรู้วิธีการย่อตัวและการจัดองศาของไหล่ การป้องกันท้องที่อ่อนนุ่มของเรา การตั้งการ์ดที่ชูมือและกำหมัดซ้ายไว้บริเวณแก้มซ้าย หมัดขวาอยู่บริเวณคาง คอยสอดส่องสายตาระหว่างถุงมือทั้งสองข้าง เราปรับท่าให้เป็นนักมวยแบบคลาสสิค ลีสอนเราให้รู้จักหมัดแย็บ ปล่อยหมัดซ้ายไปตรงๆที่กระสอบทราย ปัง! จากนั้นก็ตามด้วยหมัดตรงจากมือขวา แรงต้องมาจากสะโพกไม่ใช่ไหล่ ยืนให้มั่นและถ่ายเทน้ำหนักให้ดี ผมเคยได้ยินเรื่อง “การปล่อยหมัด” แต่เพิ่งจะมาเข้าใจตอนนี้ตรงหน้ากระสอบทรายบนพื้นสกปรกๆ
“แย็บ!” ลีตะโกนบอก จากนั้นตามด้วยหมัดฮุกซ้ายขวา จังหวะหนึ่งสองจะเป็นหมัดแย็บและหมัดตรง สามสี่จะเป็นหมัดฮุก เขาบอกกับคนอื่นๆ ว่า“ให้เขาต่อยจังหวะหนึ่งสองแบบเก่า” เขาที่ว่าคือผม คำพูดของลีมันมีความหมาย ลีอธิบายว่า ในจังหวะแรกเขาจะเอนตัวไปด้านซ้าย จังหวะที่สองก็จะสไลด์ไปด้านขวา จะเป็นที่หมัดซ้ายจะโดนเข้ากับหัวของคู่ต่อสู้ เราจะเคยชินกับกระสอบทรายหนักๆ และต้องเรียนรู้ที่จะใช้กระสอบทรายเพิ่มความเร็ว ซึ่งความเร็วเป็นเรื่องของจังหวะ และการยกแขนให้สูงพอที่จะทำให้กล้ามเนื้อกรีดร้องโหยหวนหลังจากหมดเวลา 3 นาที ซึ่งไอ้ 3 นาทีที่ว่าเนี่ยมันคือตัวตัดสินทุกอย่าง หลังจากนั้นก็จะได้ยินเสียงเตือนและเป็นช่วงพัก 1 นาที
ไม่น่าเชื่อว่ามันได้ผล กล้ามเนื้อของผมแข็งแรงขึ้น ไหล่ใหญ่ขึ้น ภรรยาของผมมักจะเรียกผมว่า “Gregory Pecs” ผมเริ่มคิดแล้วว่าบางทีอาจจะถึงเวลาที่ผมจะต่อยกับใครสักคนได้แล้ว แล้วลีก็พูดว่า “อาทิตย์หน้าเอาฟันยางมาด้วย” แล้วท้องผมก็ปั่นป่วนทันที
ปกติเราจะซ้อมกันบนสังเวียนกับลี ต่อยไปที่เป้าที่เขาถือ และหลบเวลาเขาฟาดช้าๆ ใส่เรา แต่การต่อสู้มันแตกต่าง รวมทั้งในยิมตอนนี้เองก็รู้สึกต่างออกไป ลีมาเช็คฟันยางของผม เลือกคู่ต่อสู้ที่ขนาดตัวพอๆ กัน ใส่นวมให้ถูกต้อง เอาเทปพันเพื่อไม่ให้หลุดออก พอเห็นแบบนี้ผมเลยต้องหายใจแบบที่ครูโยคะเคยสอนเพื่อให้ใจเย็นลง
เราขึ้นไปบนสังเวียนและเสียงระฆังก็ดังขึ้น ลีกระตุ้นให้พวกเราเผชิญหน้ากัน แล้วพอหมัดแรกถูกต่อยออกมา ผมรีบถอยหลังหนีด้วยความกลัวตามสัญชาติญาณ “อย่าหันหลังให้คู่ต่อสู้!” ลีตะโกน ก่อนจะให้เรามาเผชิญหน้ากันอีกครั้ง ชายตรงหน้าผมคือคนที่เด็กกว่าผม 15 ปี ตัวใหญ่กว่า แต่ก็เตี้ยกว่า เมื่อผมย่อตัวลงเพื่อเตรียมตัวเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ เขาปล่อยหมัดเข้าที่ศีรษะที่ป้องกันด้วยเครื่องป้องกัน ผมรู้สึกถึงแรงกระแทก แต่ไม่ได้เจ็บแต่อย่างใด ตลอดชีวิตที่ผมวิ่งหนีการต่อสู้มาตลอด มันแค่นี้เองเหรอ ผมผ่อนคลายขึ้น เราพยายามเคลื่อนไหวและพุ่งใส่กันและกัน และในจังหวะหนึ่งที่ผมปล่อยหมัดขวาออกไป ผมรู้สึกได้เลยว่าผมต่อยเขาโดนเต็มๆ มันอาจจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สนามเด็กเล่นในวัยเด็ก หรืออาจจะเป็นหมัดแรกในชีวิตของผม เสียงระฆังดังขึ้น ผมถอดเครื่องป้องกันของผมออก ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังเริ่มสวมถุงมือ ผมนั่งพิงกระสอบทรายและนั่งดูพวกเขาด้วยอาการสั่นเทา ผมได้สู้แล้วจริงๆ
เรามักจะฝึกซ้อมชกกันทุกสองสามสัปดาห์ การเคลื่อนไหวของผมดีขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้การป้องกันและและการหลอกล่อคู่ต่อสู้ ผมเริ่มมีความคิดที่ว่าผมเป็นผู้ชายที่สามารถต้องกันตัวเองได้แล้ว วันหนึ่งพ่อของลีที่ชื่อว่า “Roy” เขาเป็นโปรโมเตอร์รายเล็กๆ ได้เรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัว เขายื่นบัตรสำหรับคาสิโนใน Biloxi เขียนไว้ว่าขึ้นชกสองรอบได้เงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐ แล้วถามผมว่าสนใจมั้ย ผมที่อายุ 41 ปี และอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดในชีวิต
ภรรยาของผมบอกว่า “แค่นี้ชีวิตคุณยังไม่ยากพออีกหรือไง” รอยยักไหล่ตอบผม หลังจากนั้นชีวิตของผมก็ดำเนินต่อไป จนลีเข้ามาคุยด้วย “ผมมีคู่ต่อสู้มาให้ชก” เขาพูดและข้างๆ เขาคือคู่ต่อสู้ที่ว่า ชายผิวขาวที่ดูเชื่องช้า “ผมต้องการให้คุณขึ้นชกนะ” ผมรู้ตัวอีกทีเครื่องป้องกันต่างๆ ก็ถูกสวมใส่เรียบร้อย และตัวผมก็ยืนอยู่บนสังเวียน “ทางซ้าย” ลีพูดแล้วผมก็ขยับตัวไปทางนั้น พยายามชกและใช้ท่าต่างๆ ผสมกันไป คู่ต่อสู้เคลื่อนตัวเข้าหาผม จากนั้นผมก็พยายามหลบ ป้องกัน และหลอกล่อ สุดท้ายจบลงที่ผมนอนพิงเชือกมองดูโคมไฟบนเพดาน ลีถอยออกไป จากนั้นรอยและคนอื่นๆ ก็เข้ามา “ถ้านายเห็นหมัดขวาพุ่งเข้ามา” รอยพูด “นายถึงจะรู้ว่านายหลบมันได้”
ผมถอดฟันยางออกมา “ถ้าผมเห็นหมัดฮุกนั่น” ผมพูด “เราคงมีเรื่องอื่นให้คุยกันตอนนี้แล้วล่ะ” ผมไม่เถียงเขาต่อ ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าตัวเองดูแลตัวเองได้ แต่ตอนนี้ผมสามารถรับหมัดได้แล้ว
ปีต่อมาผมย้ายไปอยู่ Nashvile และได้ไปเรียนชกมวยต่อในชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ตอนที่ผมทำงานผมก็ลองแกล้งหยอกคนอื่นด้วยการชกลมเบาๆ จนนักข่าวคนหนึ่งอุทานออกมาและถามผมว่า “นายชกมวยเป็นเหรอ”
ผมคิดว่าผมชกได้นิดหน่อยแหละ แต่ผมออกจากวงการนี้ด้วยสถิติไม่แพ้ไม่ชนะเลยตลอดชีวิต ตอนนี้คุณจะเห็นผมปั่นจักรยานหรือวิ่งตามลูกบอลที่ลอยอยู่แทน กล้ามอกอาจจะได้ออกแรงน้อยลง แต่อย่างน้อยก็ไม่ปวดหัวเท่าชกมวย และก็ไม่มีปัญหาในวัยเด็กตามหลอกหลอนแล้วด้วย
ขอบคุณเรื่องราวจาก Esquire
Photo by Arisa Chattasa on Unsplash