การที่ต้องเลี้ยงลูกชายในเมืองที่ตัวเองเกิดและเติบโตมาทำให้อดีตของผมกับช่วงเวลาในปัจจุบันทับซ้อนและตีกันตลอดเวลา โดยเฉพาะการดูหนังที่เคยเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ปัจจุบันทำใหม่กลายเป็นอีกแบบหนึ่ง หวังว่าเรื่องราวนี้จะทำให้ผมดูเป็นฮีโร่ในตอนจบนะ
ผมเติบโตและใช้ชีวิตในประเทศเดียวกับที่ผมเกิดมา ดังนั้นเวลาที่ผมและครอบครัวเดินทางไปที่โรงหนังใน Oldham ผมแทบจะรู้ได้ทันทีว่าเรากำลังไปดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ เพราะมันมีเข้ามาใหม่เรื่อยๆ ในทุกสัปดาห์ ผมยังจำได้แม่นว่าผมกำลังกินขนม Jolly Ranchers ในโรงหนังเดียวกันนี้ในขณะที่กำลังนั่งดู Batman ในปี ค.ศ. 1989
ลูกชายของผมวัย 14 และ 9 ปี กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ผมเคยนั่งเมื่อตอนที่ผมอายุเท่าๆ พวกเขา และพวกเขาจะได้ยินผมพูดทุกครั้งเวลาที่มาดูหนังที่โรงหนังแห่งนี้ว่า “ลูกรู้มั้ยว่าพ่อมาดูหนัง Batman ครั้งแรกที่นี่แหละ” และพวกเขาก็จะตอบว่า “โถ่พ่อ เรารู้แล้ว แล้วพ่อก็กิน Jolly Ranchers ไปด้วย” และผมก็พูดต่ออีกว่า “ใช่ แต่มันไม่เหมือนกับที่พวกลูกกิน…” สุดท้ายพวกเขาก็จะขัดผมว่า “มันคนละขนาดกัน เรารู้แล้วพ่อ หนังเริ่มแล้วนะ”
ในทุกครั้งที่ดู Batman เรื่องใหม่จะทำให้ผมคิดว่า “Tom Keaton เหมาะกับบท Batman มาก ส่วน Val Kilmer ก็โดนประเมินค่าต่ำไป และ George Clooney ก็แสดงด้วยเหรอ? พระเจ้า Christian Bale น่าจะเป็น Batman คนสุดท้ายแล้วล่ะ และสุดท้ายฉันไม่เคยดูหนังของ Ben Affleck ตอนที่เขาแสดงเป็น Batman ฉันว่าฉันดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ทุกเรื่องแล้วนะ”
และผมก็คิดไปถึงตอนที่ผมอยู่ช่วงประมาณเกรด 8 (หรือช่วงประมาณม.3 ของประเทศไทย) เป็นช่วงที่พ่อแม่ผมคิดว่าผมสามารถไปดูหนังคนเดียวได้แล้ว เลยเอาผมไปปล่อยทิ้งไว้ที่หน้าโรงหนังที่นัดกับเพื่อนไว้ การที่เดินไปที่ซื้อตั๋วคนเดียวเป็นเรื่องง่ายก็จริง แต่มันจะเริ่มน่ากลัวตอนที่คุณมองเข้าไปในฝูงชนแล้วไม่เห็นเพื่อนของตัวเองเลยสักคน ผมจำได้เลยว่าพอมองกลับไปที่รถก็พบว่าพ่อของผมกำลังโบกมือให้ก่อนจะขับรถออกไป
ผมกำลังคิดว่ามันแปลกที่ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิตแบบนี้กำลังเกิดขึ้นก่อนที่เราจะเข้าไปดูหนังเรื่อง Teenage Mutant Ninja Turtles II: The Secret of the Ooze ผมคิดถึงการเดินออกมาจากโรงหนังตอนดูจบ ไปตามหารถของพ่อแม่ ช่วงเวลาที่เราแยกจากกันและกลับมาหากันอีกครั้ง คิดวนอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
กลับมาที่ปัจจุบัน ลูกชายทั้งสองของผมกำลังลุกออกจากที่นั่งเพราะว่าหนังจบลงไปแล้ว มันทำให้ผมตระหนักได้ว่าผมต้องกลับไปย้อนดูมันอีกรอบเพื่อให้รู้เรื่อง
ผมรู้สึกถึงการวนลูปซ้ำของความทรงจำและเวลาเสมอ ผมใช้ชีวิตมานานพอที่จะมีประสบการณ์เอาไว้เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น ผมจะต้องเปรียบเทียบแซนด์วิชบาร์บีคิวที่กำลังกินอยู่กับแซนด์วิชบาร์บีคิวที่เคยกินในปี ค.ศ. 2004 ที่เมือง Lexington, North Carolina เสมอ ตอนที่ผมกับภรรยาย้ายมาอยู่ด้วยกัน เราทั้งสองขับรถกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปกินแซนด์วิชนั่นโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ทุกครั้งที่ผมกินแวนด์วิชบาร์บีคิวอันใหม่ ผมจะมองหน้าเธอและพูดว่า “อร่อยเกือบเท่ากัน” และแน่นอน เธอรู้ว่าผมหมายถึงอะไร
แนวคิดเรื่องวัยกลางคนไม่เคยอยู่ในหัวของผมมาก่อนจนกระทั่ง แน่นอน ตอนนี้ไง ผมน่าจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีเกินกว่าที่จะบอกว่า เฮ้ ตอนนี้นายอายุ 44 ปี นายอยู่ในจุดกึ่งกลางของชีวิตแล้วนะ หรือถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ลองจินตนาการดูว่าเวลาอีก 44 ปีข้างหน้านี่มันนานมากเลยนะ ผมจะใช้ชีวิตกับเวลาขนาดนั้นได้ยังไง มันมีกี่ชั่วโมงกันแน่ แล้วผมต้องหางานอดิเรกอีกกี่อย่างกัน ควรจะมีลูก 5 คนแทนที่จะเป็น 2 คนหรือเปล่า ต้องทาสีผนังห้องนอนที่หลุดลอกใหม่อีกกี่ครั้ง หนึ่ง หรือสอง ถ้าผมอยากทำแบบ John Updike ผมต้องเขียนหนังสืออีกกี่เล่ม หรือผมจะเขียนนิยายในอีก 40 ปีข้างหน้า ในขณะที่ตัวแทนของผมกำลังบอกว่าอีกนิดเดียวนะ เขียนต่ออีกหน่อยน่าจะกำลังดี จนกระทั่งผมตายนิยายเล่มนั้นถึงค่อยวางขาย และผู้คนก็จะบอกว่า โอ้เขาเขียนนิยายเรื่องนี้มาทั้งชีวิต
แต่ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสักราวๆ 20 ปีก่อน คุณจะสามารถเรียนรู้ได้ว่าอะไรที่ทำให้เราเป็นตัวเราในปัจจุบันนี้ ตัวเราในวัย 20 ปีจะถูกอดีตเหนี่ยวรั้งมากเกินไปจนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ตัวเราในวัย 70 ปีนั้นจะหลงลืมอดีตไป ผมคิดถึงช่วงเวลาที่อาจจะเป็นตัวจุดประกายให้ผมมาเป็นนักเขียน ในช่วงหน้าร้อนวัย 19 ปี ผมรู้สึกเศร้ามากๆ จนไม่อยากทำอะไร จากการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างหนักหน่วงมาตลอดทั้งปี พ่อของผมเดินถือหนังสือที่ผมเขียนมา ก่อนจะนั่งลงข้างๆ แล้วบอกผมว่าถ้าผมอยากเขียนหนังสือก็ควรจะเขียนมันต่อนะ
ผมคิดว่าเมื่อถึงคราวลูกชายของผม ผมก็อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ ในตอนที่ผมยังอยู่ตรงนี้ ผมจะคอยสนับสนุนพวกเขาทั้งสองด้วยแรงกายและแรงใจทั้งหมดของผม และในสักวันหนึ่งที่เขาได้รับรางวัลบนเวทีอะไรสักอย่าง เขาอาจจะพูดว่า “ผมจำได้เสมอว่าพ่อของผมเป็นคนคอยสนับสนุนผมทำให้สิ่งนี้ต่อไป จนกระทั่งผมได้รับรางวัลนี้มา” มันน่าจะเป็นอย่างงั้น การกระทำในอดีตจะส่งผลถึงปัจจุบัน และสร้างอนาคตต่อไปเสมอ
บางครั้งเหล่านักเรียนที่เข้ามาเรียนการเขียนกับผมก็ทำให้ผมหงุดหงิดใจกับการที่พวกเขาส่งงานไม่ทันกำหนด แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงช่วงค่ำคืนที่ผมกำลังปั่นงานส่งอาจารย์ในวิชาปรัชญา ผมโทรไปหาศาสตราจารย์ผู้สอนตอน 20.00 น. เผื่อว่าเขาจะแนะนำอะไรดีๆ ให้กับผมได้ และเมื่อผมตระหนักได้ว่าเสียงข้อความอัตโนมัติของเขาคือเสียงกีต้าร์ที่เล่นเพลง “Satellite” ของ Dave Matthews ซึ่งเขาเล่นเองและเล่นได้ห่วยแตกสุดๆ ผมโทรกลับไปหาเขาอีก 3 ครั้งเพื่อฟังเสียงนั้น มันเป็นเสียงกีต้าร์ที่ตะกุกตะกักและไม่มีความมั่นใจที่เล่นโดยคนที่เคยสอนผมในห้องเรียน ผมได้แต่สงสัยว่าทำไมเขาถึงเอามาตั้งเป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติ ทั้งๆ ที่มันห่วยขนาดนี้
สุดท้ายเขาก็รับสายด้วยความรำคาญแบบสุดๆ แทนที่ผมจะแนะนำตัวและถามเขาเกี่ยวกับเรื่องรายงาน ผมพูดเพียงแค่ว่า “ขอโทษ” แล้วก็วางสายเลย อย่างน้อยเขาก็ให้ผมเกรด C ในการเขียนเรียงความเรื่องฟรอยด์ แม้ว่าผมเขียนคำว่าจิตวิทยากับปรัชญาสลับกันก็ตาม ดังนั้น ผมมักจะให้เวลาเพิ่มเติมกับนักเรียนของผมเสมอ อาจจะหนึ่งอาทิตย์หรือสองอาทิตย์
อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และช่วงวัยกลางคนเองก็เป็นช่วงที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนกับรถไฟเหาะที่อยู่บนจุดสูงสุดระหว่างความเป็นและ เอ่อ ความตาย ผมไม่สามารถวาดฝันอนาคตได้อย่างชัดเจนนัก หรือจะบอกว่าผมยังหาที่ของตัวเองในอนาคตไม่เจอก็ได้ ฉะนั้นผมจะมุ่งเน้นไปที่การกระทำของตัวเองในปัจจุบันที่จะส่งผลไปถึงอนาคต
ผมจินตนาการถึงชีวิตของลูกชายทั้งสอง ผมอยากเป็นพ่อที่ส่งเขาไปให้ถึงจุดที่พวกเขาต้องการ จุดที่ผมไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีผม กับนักเรียนที่ผมสอนในห้องเรียน ผมพยายามที่จะเป็นคนที่เมื่อพวกเขานึกถึง พวกเขาจะนึกถึงด้วยความรัก นึกถึงเมืองที่ผมอาศัยอยู่และหาทางพัฒนามันให้ดีขึ้นไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งเพื่อคนที่เข้ามาใหม่ อยากเป็นนักเขียนที่ขายหนังสือจนหมดสต๊อก และมีคนที่ต้องการมันอีกจนสำนักพิมพ์ต้องตีพิมพ์ซ้ำ และอย่างน้อยก็อยากเป็นคนที่เมื่อเกิดเรื่องร้ายๆขึ้น จะไม่มีใครพูดว่า “นายต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด”
ในตอนนี้สิ่งที่ผมขอจากลูกชายทั้งสองได้มีเพียงแค่การดูหนังกับพวกเขา และในตอนที่พวกเขาโตขึ้น พวกเขาจะได้บอกลูกๆ ของเขาเกี่ยวกับ Batman ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอนิเมชั่น หรือคนแสดงสักเวอร์ชั่นจาก 7, 8 หรือ 9 เวอร์ชั่นหรือทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเล่าว่าขนมที่ลูกของพวกเขากำลังกินอยู่แตกต่างจากเมื่อก่อนเล็กน้อย แต่ความแตกต่างเล็กน้อยที่ว่านั่นสำคัญมากแม้จะไม่รู้ว่าทำไม ผมหวังว่าสุดท้ายมันจะเกิดขึ้นนะ ในฐานะนักเขียน ผมเชื่อในพลังของตอนจบเสมอ แต่นี่มันชีวิตจริง ไม่มีหรอกจุดจบ มีแต่จุดเริ่มต้น เริ่มต้น แล้วก็เริ่มต้น และคุณก็ต้องอยู่เขียนเรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้นแล้วให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขอบคุณเรื่องราวจาก Esquire US
Photo by Yulia Matvienko on Unsplash