ในงานสัปดาห์หนังสือที่ผู้คนเดินสวนกันไปมาอย่างแน่นขนัด ตัวผมซึ่งถือถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ข้างในมีหนังสือนวนิยายที่อยากอ่านอยู่หลายเล่ม และกำลังจะเดินทางกลับไปยังห้องพัก แต่ที่หางตาของผมกลับไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มสีขาวที่มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษขนาดใหญ่เขียนอยู่ ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสแกนจ่ายเงินซื้อหนังสือเล่มนั้นกลับมาด้วย แต่ก็ไม่มีเวลาว่างมานั่งอ่านสักที จนวันนี้ผมได้มีโอกาสหยิบเอาหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเปิดอ่าน
“Death Wish 10 วันก่อนฉันตาย” เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นโดย ปกรณ์ แก้วดี ว่าด้วยการเดินทางไปสู่จุดสิ้นสุดของชีวิตใน 10 วัน ซึ่งจะเล่าผ่านตัวยมทูตสาวฝึกหัดที่มีหน้าที่เพียงคอยรับส่งวิญญาณของผู้วายชนม์เป็นหลัก ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับวัฎจักรชีวิตของมนุษย์ ทำได้เพียงแจ้งว่ามีเวลาเหลืออีกเพียง 10 วันเท่านั้นก่อนจะสิ้นใจ และในสุดท้ายทุกคนจะได้รับพรหนึ่งข้อ แต่สำหรับพรนี้จะไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเอง แต่มีไว้คนที่ยังอยู่ให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
และแน่นอนว่านอกจากยมทูตที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินเรื่องแล้ว เรายังได้เห็นมุมมองอื่นๆ ของผู้ที่ประสบกับความสูญเสียทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น สตรีมเมอร์ที่เป็นเคสแรกของยมทูต เด็กสาวฝาแฝดที่ต้องแยกจากกัน สุนัขแก่ที่พลัดหลงกับเจ้านาย คนรักของชายหนุ่มที่เป็นโรคประจำตัว คุณตาที่หมดห่วงเกือบจะทุกอย่าง ประธานสาวที่รอคอยประโยคหนึ่งประโยคมาทั้งชีวิต คุณแม่ที่ไม่อาจทิ้งลูกให้อยู่คนเดียวได้ โจรปล้นธนาคารที่ไม่มีอะไรจะเสีย และเด็กหญิงที่หมดสิ้นหนทาง ซึ่งแน่นอนว่าแทบทุกคนหวังว่าตัวเองต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมรับการเดินทางใหม่ที่ไม่มีใครรู้ได้
เมื่ออ่านจบ ผมปิดหนังสือลง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจัดเรียงความคิดของตัวเองออกมา หลังจากเรียบเรียงได้แล้ว ตัวผมมองว่าความตายจริงๆ แล้วไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่จากไป แต่มันคือสิ่งที่คนที่ยังอยู่ทั้งครอบครัว คนรัก เพื่อน ต้องพบเจอ และสิ่งนั้นไม่รู้จักกับคำว่าความยุติธรรม ไม่ว่าใครจะเลวหรือดีแค่ไหนก็ต้องเจอกับจุดสิ้นสุดของชีวิต และสำหรับข้อคิดจากเรื่องนี้สำหรับผมแล้วคือเราหนีจุดจบของเราไม่ได้ก็จริง แต่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตยังไงให้คนที่ยังอยู่จดจำเราได้
แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ความตายได้แอบสอนเราอย่างเงียบเชียบ ผ่านความกลัวตาย ผ่านความสิ้นหวัง ผ่านความอาลัยอาวรณ์ นั่นคือการสอนให้เราใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ผมเคยลองจินตนาการว่าหากเราเป็นนิรันดร์คงจะดีไม่น้อย คงจะไม่มีการสูญเสีย ไม่มีความโศกเศร้า แต่ใครบางคนได้บอกผมว่า ถ้าเราเป็นแบบนั้นไปแล้วจริงๆ แล้วเราจะใช้ชีวิตไปทำไมกัน นี่แหละคือสิ่งที่ถูกสอนแก่เหล่าคนเป็น สอนให้เรามีชีวิต สอนให้เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิต สอนให้เรารักชีวิตของเรา
เมื่อลองทบทวนดูแล้ว หากผมมีรู้ว่าผมมีเวลาเพียง 10 วันก่อนตาย ผมอยากดื่มให้กับตัวเองที่เติบโตมาอย่างดี อยากร้องไห้แบบไม่ต้องกลั้นไว้ดูสักครั้ง อยากเขียนหนังสือออกมาสักเล่ม อยากมอบรอยยิ้มเล็กๆ ประดับใบหน้าของใครบางคน
แล้วคุณล่ะ หากคุณมีเวลาเหลือเพียง 10 วัน คุณจะทำอะไร

Photo by Grant Whitty on Unsplash